บล.ทรีนีตี้มองบวก Digital Wallet หุ้นค้าปลีกได้ประโยชน์

#digitalwallet #ทันหุ้น - นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง แถลงความคืบหน้าโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยันว่าจะไม่เลื่อนจากแผนการเดิมที่คาดว่าในไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยเงื่อนไขหลักจะไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ได้ลดจำนวนกลุ่มเป้าหมาย 50 ล้านคน ส่วนกรอบเวลาชัดเจนนั้นทางบอร์ดดิจิทัลชุดใหญ่ที่มีนายกฯ เป็นประธาน จะมีการประชุมสรุปรายละเอียดอีกครั้งในวันที่ 10 เม.ย. ก่อนส่งเรื่องให้ ครม.พิจารณาเป็นลำดับถัดไป

บล.ทรีนีตี้ระบุว่า ดูเหมือนตลาดจะผิดหวังต่อประเด็นดังกล่าวเมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) และ SET Index ไม่ได้มีการตอบรับเชิงบวกต่อข่าวแต่อย่างใด คาดส่วนหนึ่งเกิดจาก Timeline การเบิกจ่ายเม็ดเงินที่ต้องรออีกนานไปจนถึงไตรมาส 4 ส่วนอีกด้านหนึ่งอาจยังคงเป็นความกังวลเดิมเกี่ยวกับความชัดเจนของแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่อาจยังคงเป็นกังวลต่อวินัยการคลังของประเทศ

บล.ทรีนีตี้ยังคงมุมมองเดิมว่า ตลาดมีความกังวลเกินไปต่อปัจจัยวินัยการคลังดังกล่าว โดยเราเชื่อว่าหากสุดท้ายโครงการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริง จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงิน จนนำมาสู่ Multiplier effect ในระบบเศรษฐกิจ และการขยายตัวของฐานเงินหรือ M2 ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศเราต้องการอย่างมาก ณ เวลานี้

ทั้งนี้ หากอ้างอิงจากประมาณการของ ธปท. ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ พบว่าโครงการ Digital Wallet ดังกล่าวจะสามารถผลักดันเศรษฐกิจไทย (GDP) ให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานได้ราว 0.6% และการบริโภคให้เติบโตสูงขึ้นจากกรณีฐานราว 1.0% มองปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ยังไม่อยู่ในราคา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะถือเป็น Upside risk ที่สำคัญสำหรับกลุ่มหุ้นที่อิงกับการบริโภคภายในอย่างเช่นกลุ่มค้าปลีกได้ อาทิ CPALL, CPAXT, BJC เป็นต้น

Sustainability : สำหรับประเด็นความเสี่ยงหนี้สาธารณะและอันดับเครดิตของประเทศที่อาจถูกกระทบจากการกู้เงินรอบใหม่ของรัฐบาลนั้น เราไม่เป็นกังวลใจแต่อย่างใด โดยหากอ้างอิงความเห็นจากเหล่าบรรดา Rating agencies ก่อนหน้านี้ จะพบว่าแม้ภาระหนี้จะสูงขึ้น แต่คาดการณ์อัตราส่วนวินัยการคลังของไทยจะยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลังได้ อาทิ อัตราส่วนระดับหนี้สารารณะต่อ GDP ที่ 70% เพราะต้องอย่างลืมว่าตัวแปร GDP ซึ่งเป็นฐานในสมการนี้ จะมีการปรับสูงขึ้นจากมาตรการดังกล่าวด้วยเช่นกัน หรือหากจะพิจารณาจากมิติการขาดดุลงบประมาณ แม้ภาครัฐจะมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องอย่าลืมว่ารายได้ของรัฐก็จะสูงขึ้นเช่นกันจากรายรับภาษีที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน