นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยว่า ในปี 2567บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตราว 15% ต่อจากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 1,054.77 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 918.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.29 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 14.84% ส่วนกำไรสุทธิ ปี 2566 บริษัททำได้ 73.20 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 82.50 ล้านบาท ลดลง 9.30 ล้านบาท หรือลดลง 11.27% และ ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมี Backlog รวมอยู่ที่ราว 300 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทจะขยายกำลังการผลิตและขยายเครื่องจักรไปสู่ระบบออโตเมชั่นมากขึ้น โดยการลงทุนเครื่องจักรบริษัทจะเน้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เครื่องออโตเมชั่น สายพานลำเลียง ระบบการโหลดออโตเมติก เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิต นอกจากนี้บริษัทมีแผนขยายตลาดการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ที่เป็นตลาดอาฟเตอร์มาร์เก็ต ได้แก่ สหรัฐ ออสเตรเลีย แอฟริกา
รวมถึงขยายไปสู่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยจีนมีแผนย้ายฐานการผลิตเข้ามามายังประเทศไทย อีกหลายค่ายรถยนต์ ซึ่งเป็นตลาดส่วนหนึ่งที่ทางบริษัทมองอยู่ และปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยบริษัทคาดหวังว่าจะได้กลุ่มลูกค้าใหม่ EV เพิ่มขึ้นอีกราว 3-4 ราย ส่วนตลาดในประเทศจะเดินหน้าขยายสาขา PACO AutoHub เพิ่มอีก 20-30 สาขา ในปี 2567
ขณะที่แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปี 2567 จะดีขึ้นจากปี 2566 เพราะราคาวัตถุดิบคงที่ และการรับรู้วัตถุดิบราคาใหม่เริ่มเห็นในครึ่งปีหลัง 2566 ที่ผ่านมา บริษัทจึงมองแนวโน้ม Gross Profit Margin ปี 2567 จะดีกว่าปี 2566 หาก Gross Profit Margin สูงขึ้น คาดอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) จะขึ้นมายืนระดับปกติที่ 10-11% จากปีก่อนอยู่ราว 8%
นอกจากนี้ตลาดรับจ้างผลิต (OEM) ปี 2567 คาดจะเติบโตอย่างโดดเด่นเนื่องจากลูกค้าใหม่กลุ่มบริษัทคูโบต้า พัฒนางานผลิตชิ้นส่วนแอร์รถเพื่อการเกษตรการก่อสร้างขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยกลุ่มคูโบต้ามียอดสูงกว่าเป้า บริษัทคาดการผลิต OEM ในประเทศจีนยอดเติบโตตามออเดอร์ เบื้องต้นคาดยอดขายจากกลุ่มคูโบต้าปี 2567 จะอยู่ราว 60-70 ล้านบาท
โดยแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ ในปี 2567 ด้านตลาดอาฟเตอร์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทก็ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมียอดสะสมของรถยนต์ใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าที่บริษัทนำไปจำหน่ายในต่างประเทศ ปัจจุบันเป็นที่นิยม ทั้งในกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง สหรัฐ และญี่ปุ่น รวมกว่า 26 ประเทศ
ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีสัดส่วนยอดขายจากการส่งออก 68% และในประเทศที่ 32% ซึ่งตลาดที่ส่งออกส่วนใหญ่ ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชีย ญี่ปุ่น และ สหรัฐ เป็นต้น ซึ่งเป็นตลาดอาฟเตอร์มาร์เก็ต 94% ส่วนตลาด OEM ส่งขายให้แก่ บริษัทประกอบรถยนต์ อยู่ที่ 2% และตลาด OES ส่งขายให้กับดีลเลอร์รถยนต์ 2%แบ่งเป็น คอยล์ร้อน (Condenser) 70% ,คอยล์เย็น (Evaporator) 20%, อะไหล่แอร์รถยนต์และอื่นๆ (Other Automotive Products & Outsource ) 10%
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
X คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?igshid=YTY2NzY3YTc=
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม