> SET > GRAMMY

31 กรกฎาคม 2023 เวลา 10:30 น.

GRAMMY เตรียมดัน"จีเอ็มเอ็ม มิวสิค" เข้าตลาดหุ้น ขาย IPO ไม่เกิน 30%

#GRAMMY #ทันหุ้น-บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน) หรือ GRAMMY แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแผนการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด หรือ GMM Music ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO) และการนำหุ้นสามัญของ GMM Music เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 


โดย GMM Music เป็นบริษัทผู้นำ า (Flagship Company) ของบริษัทฯและบริษัทย่อยของบริษัทฯ (“กลุ่มบริษัทฯ”) ในการดําเนินธุรกิจเพลงแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกศิลปิน การผลิตผลงานเพลง การทําการตลาด การบริหารและจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลง การจัดจําหน่ายสินค้าเพลงทั้งรูปแบบ Digital และ Physical รวมถึงการเป็นผู้จัดคอนเสิร์ต และเฟสติวัล ตลอดจนเป็นผู้ดําเนินการบริหารศิลปิน โดยในการเสนอขายหุ้นครั้งนี้บริษัทฯ อาจจะเสนอขายหุ้นสามัญเดิมของ GMM Music ไปพร้อมกันด้วย โดยจํานวนหุ้นสามัญเพิ่มทุน และหุ้นสามัญเดิม (ถ้ามี) ที่จะเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (“หุ้น IPO”)จะคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30.00% ของทุนชําระแล้วทั้งหมดของ GMM Music ภายหลังการเพิ่มทุนและการเสนอขายหุ้น IPO และภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นผู้มีอํานาจควบคุมของ GMM Musicและ GMM Musicจะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯเช่นเดิม


แผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ GMM Music จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ GMM Musicได้รับอนุญาตจากสํานักงาน ก.ล.ต. ให้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ GMM Music ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนเพื่อการเสนอขายหุ้น IPO มีผลใช้บังคับแล้ว และตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติคําขอให้รับหุ้นสามัญของGMM Music เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยการตัดสินใจในการเข้าทํารายการจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่สําคัญ เช่น สภาวะตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงปริมาณความต้องการของนักลงทุนทุกประเภทในขณะนั้น เป็นต้น 


ทั้งนี้ GMM Music ดำเนินธุรกิจเพลงแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกศิลปิน การผลิตผลงานเพลง การทําการตลาด การบริหารและจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลง การจัดจําหน่ายสินค้าเพลงทั้งรูปแบบ Digital และ Physical รวมถึงการเป็ นผู้จัดคอนเสิร์ต และเฟสติวัลตลอดจนเป็นผู้ดําเนินการบริหารศิลปิน


สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน GMM Music จะนำเงินบางส่วนไปชําระหนี้ที่ GMM Music และบริษัทย่อยของ GMM Music (“กลุ่ม GMM Music”) กู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยให้ภาพรวมฐานะการเงินของ GMM Music มีความแข็งแรงขึ้น


นอกจากนี้การนํา GMM Music เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในรูปแบบต่างๆ ทั้งตลาดตราสารทุนและตลาดตราสารหนี้ และเพิ่มช่องทางระดมทุนให้กับ GMM Music ให้สามารถระดมทุนได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการขยายธุรกิจและ ส่งเสริมชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของ GMM Music ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสในการแสวงหาบุคลากร และ/หรือพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ในธุรกิจเพลง 


**วาง 7 ยุทธศาสตร์ขยายธุรกิจ


บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)  ระบุในเอกสารเผยแพร่ว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแผนการ Spin-Off ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (GMM MUSIC) ซึ่งเป็น Flagship Company ของกลุ่มจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ในการดำเนินธุรกิจเพลงแบบครบวงจรเพื่อระดมเงินทุนในการสร้างการเจริญเติบโตให้กับอุตสาหกรรมเพลงภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Music Economy” โดยเงินลงทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ เพื่อการขยายธุรกิจในหลายภาคส่วนโดยมุ่งหวังที่จะสะท้อนให้เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ ขยายอุตสาหกรรมเพลงทั้งตลาด พร้อมเน้น 7 ยุทธศาสตร์การขยาย ได้แก่


1. Double Up Production

ขยายการผลิต เป็นอีกเท่าตัวจากการผลิตในปัจจุบัน โดย GMM MUSIC มีแผน “จะเพิ่มการผลิต”

- เพลงจาก 400 เพลงต่อปี เป็น 1,000 เพลงต่อปี

- ศิลปินจาก 120 ศิลปิน เป็น 200 ศิลปินภายใน 5 ปี

- Playlist เข้าสู่ Streaming Platform จาก 3,000 Playlists เป็น 6,000 Playlists ต่อปี

- Full Album จาก 30 อัลบั้มต่อปี เป็น 50 อัลบั้มต่อปี

- ศิลปินฝึกหัดจาก 150 ศิลปิน เป็น 300 ศิลปินต่อปี


2. Showbiz Expansion

ขยาย Scale ของ Music Festival ที่ครอบคลุมสูงสุดทั่วประเทศ สู่การรองรับจำนวนผู้ชมซึ่งจะมากกว่า 500,000 คนต่อปี ด้วยความตั้งใจร่วมมือกับทุกค่ายเพลง พร้อมต่อยอดแหล่งรายได้ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว กวาดรายได้ทั้งในประเทศ และจากต่างประเทศ ในขณะที่ Arena Concert นอกจากจะมี Line Up ที่ครอบคลุมตั้งแต่ศิลปินยุคแจ้งเกิดของบริษัทจนถึงศิลปินยุคปัจจุบัน GMM MUSIC จะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งใน และต่างประเทศในการขยาย Segment เดินหน้าสู่การเป็นผู้จัด International Fan Meeting & Concert อย่างเป็นรูปธรรม และพร้อมจับมือกับ Promoter เจ้าต่าง ๆ ใน Southeast Asia เพื่อการขยายตัว


3. Local Alliance

ขยายพันธมิตรทางดนตรี ร่วมจับมือกับค่ายเพลงในประเทศไทย ผ่านการ M&A (Mergers &  Acquisitions) หรือ JV (Joint Venture) เพื่อสร้าง Synergy Value ในการขยายการผลิต และการเติบโตทางธุรกิจทุกช่องทาง ร่วมกันสร้างให้อุตสาหกรรมเพลงไทยเติบโตใหญ่ยิ่งขึ้นในระบบเศรษฐกิจมหภาค โดยสามารถสร้างการขยายตัวได้ทั้งในเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ พร้อมการสร้างรายได้ที่มากขึ้น


4. Global Strategic Partner

ขยายการจับมือกับบริษัทชั้นนำในต่างชาติผ่านการ JV (Joint Venture) เพื่อการสร้างงานเพลง และส่งเสริมศิลปินไทย เดินหน้าสู่ศักยภาพ และมาตรฐานใหม่ในระดับสากล (Thailand Soft Power) ซึ่งการเดินหน้าจับมือในครั้งนี้ บริษัทได้วางแผนที่จะจับมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำในภูมิภาคต่าง ๆ (Global Leader) อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา, สแกนดิเนเวีย, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านในแถบ Southeast Asia ซึ่งการเดินหน้า JV ต่าง ๆ นี้จะคล้ายคลึงกับการ JV ของ GMM MUSIC กับ บริษัท YG Entertainment ในการจัดตั้ง JV YGMM เพื่อคัดสรร และผลิตศิลปินไทยป้อนสู่ระดับสากลที่ได้เกิดขึ้นแล้ว


5. Media Networking

ขยายวงล้อมการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพในทุกรูปแบบ และทุกช่องทางการสื่อสารผ่านการสร้าง Partnership Deal หรือ JV เพื่อแลกเปลี่ยนศักยภาพทางธุรกิจที่ต่อยอดได้ไม่รู้จบทั้งสื่อทางด้าน On Air  On Board Online และ On Ground ส่งเสริมการ Promote ศิลปินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด


6. Data Intelligent

ขยายศักยภาพการบริหารจัดการข้อมูล Big Data ผ่านการลงทุนเพิ่มด้าน Data Scientist Machine Learning และระบบ AI พร้อมสร้าง Tools ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ทั้งในเชิงการค้า การบริหารจัดการ และการพัฒนาศิลปิน รองรับธุรกิจแห่งอนาคตที่ให้ความสำคัญด้าน Personalization Offering


7. New World Talent

ขยายทีมงานแห่งอนาคตด้วยการลงทุนในบุคลากรรุ่นใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความเชี่ยวชาญใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเติมเต็ม สืบทอด ต่อยอด รองรับการก้าวไปข้างหน้าของธุรกิจเพลง


นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม มิวสิค กล่าวว่า “อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกได้เติบโตกลับมาถึงจุดที่เรียกว่า “Music Second Wave” ซึ่งหมายความว่า อุตสาหกรรมทั่วโลกมียอดรายรับ “ทะลุจุดสูงสุดที่เคยสร้างไว้ในอดีต” หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “อุตสาหกรรมเพลงได้กลับมาสู่จุดรุ่งเรืองสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง และกำลังเติบโตขึ้น” จากตัวเลขการคาดการรายรับ (World Business Projection) อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกจะเติบโตขึ้นอีกเป็นเท่าตัว (X2) ภายในปี 2030 ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลหลักของการเติบโตนั้นมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การเติบโตของธุรกิจ Digital Streaming และการเติบโตของธุรกิจ Showbiz ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้ การ Spin-Off ในครั้งนี้จะทำให้มูลค่าของ GMM MUSIC สะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริงของ GMM MUSIC ในอุตสาหกรรมเพลง ซึ่ง GMM MUSIC มีความพร้อมที่จะขยายตัวได้อีกมาก” 


อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า ปีนี้เป็นปีที่บริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ มีอายุครบรอบ 40 ปี หากแต่เราไม่ได้มองแค่เพียงความสำเร็จของตัวเราในวันนี้แล้ว เรามองไปอีก 40 ปีข้างหน้า ว่าต่อจากนี้ เราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้อุตสาหกรรมเพลงไทยเติบโตร่วมไปกับทุกศิลปิน ทุกค่ายเพลง เพื่อความเจริญรุ่งเรือง สร้างเศรษฐกิจใหม่ที่เติบโตไม่แพ้สัดส่วนการเติบโตของเศรษฐกิจเพลงในตลาดโลก (For The Next 40 years of Music Legacy) ภายใต้กรอบความคิดใหม่ ๆ จากคนรุ่นใหม่ และคนหัวคิดสมัยใหม่ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เราเดินทางสร้างตลาด เปลี่ยนผ่านจากความเป็น Music Company สู่ Music Infrastructure จนวันนี้เราจะเดินหน้าสู่การเป็น New Music Economy ที่จะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นเลิศให้กับทุกคนในอุตสาหกรรมเพลงไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”


ด้านนายฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม มิวสิค กล่าวเสริมว่า “การ Spin-Off ที่จะเกิดขึ้นนี้ บริษัทตั้งอยู่บนพื้นฐานของธุรกิจที่มีความแข็งแรง ทั้งขนาดรายได้ ขนาดกำไร คุณภาพของศิลปิน และคุณภาพของทีมงาน ผมมั่นใจว่าหากเราผลักดัน New Music Economy ได้นั้น อาจหมายถึงการเติบโตการผลิตได้ถึง 2 เท่า เราก็ควรที่จะสร้างรายได้เติบโตได้เป็น 2 เท่าเช่นกัน และหากเราสามารถสร้างความร่วมมือ และพันธมิตรได้มากขึ้นเป็น 2 เท่า ตลาดก็น่าที่จะเติบโตได้เป็น 2 เท่าเช่นกัน มุมความคิดเหล่านี้ ล้วนสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของตลาดโลก ที่ไม่ได้เติบโตแค่ในเชิงของคุณภาพเพียงแค่นั้น หากแต่เติบโตด้วยเรื่องของขนาด (Scale) เป็นอีกนัยยะสำคัญหนึ่งเช่นกัน การเติบโตที่เราเชื่อมั่นมาจากทั้งพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคง (Sustainable Growth) และความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ และพันธมิตรทุกสาขา (Strategic Growth) ณ ปัจจุบัน ผม และบริษัทได้เตรียมการที่จะเดินหน้าด้าน Strategic Investment อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งปัจจุบันเราได้ทำการเจรจา และอยู่ในขั้นตอนการสรุปดีลกับ Partner ต่าง ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศความร่วมมือต่าง ๆ ได้ภายในไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ของปี 2566 นี้”


ปัจจุบัน GMM MUSIC มีที่มาของรายได้จาก 5 แหล่งธุรกิจหลัก ได้แก่

1. Music Digital Business มียอดรายได้ที่ 1,152 ล้านบาท* คิดเป็นสัดส่วนที่ 34%

2. Music Artist Management Business มียอดรายได้ที่ 1,177 ล้านบาท* คิดเป็นสัดส่วนที่ 35%

3. Showbiz Business มียอดรายได้ที่ 678 ล้านบาท* คิดเป็นสัดส่วนที่ 20%

4. Right Management Business มียอดรายได้ที่ 234 ล้านบาท* คิดเป็นสัดส่วนที่ 7%

5. Physical Business มียอดรายได้ที่ 147 ล้านบาท* คิดเป็นสัดส่วนที่ 4%


นายภาวิต จิตรกร กล่าวปิดท้ายว่า “บริษัทตั้งประมาณการที่จะสร้างรายได้ที่ 3,800 ล้านบาท ในปี 2566 นี้ และพร้อมที่จะเดินหน้าสู่การสร้างผลประกอบการแบบ New High ภายในปี 2567 ที่จะถึงนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของ New Music Economy ยังมีฉากทัศน์อีกมากมายที่จะเกิดขึ้นภายใต้การ Spin-Off ของ GMM MUSIC ในครั้งนี้”


รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1


จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X