ทันหุ้น – CIMBTรุกปล่อยสินเชื่อรายย่อย และลูกค้าธุรกิจขยาดใหญ่ ดันเป้าพอร์ต์สินเชื่อรวมทั้งปี 2565 โต 5-8% มั่นใจคุม NPL ไม่เกิน 3.7% ควบคู่กับเร่งขยายฐานตลาดธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ลั่นพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มรองรับการทำธุรกรรมได้ง่าย พร้อมตั้งเป้าเป็น “ธนาคารอาเซียนขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล”

นายพอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อรวมทั้งปี 2565 ประมาณ 5-8% จากพอร์ตสินเชื่อรวมสินปี 2564 ที่ 2.12 แสนล้านบาท ลดลง 6.6% YoYเนื่องจากประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ทั้งปี 2565 จะขยายตัวได้ประมาณ 3.3% - 3.8%บนสมมุติฐานว่าสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศได้ดี ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศสามารถดำเนินได้ตามปกติ

คุมNPL 3.7%

รวมถึงตั้งเป้าหมายอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ระดับ 5.7-7.0% จากปี 2564 ที่อยู่ในระดับ 5.7% กำไรก่อนหักภาษีที่ 3.0-3.5 พันล้านบาท จากปี 2564 ที่ 2.85 พันล้านบาท มี Cost to Income ที่ 55-57% จากปี 2564 ที่ 57% และมี Credit Cost ที่ 1.2-1.5% พร้อมกันนี้ธนาคารมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ให้อยู่ในกรอบไม่เกิน 3.7% หรือทรงตัวจากปีก่อน  โดยจะดำเนินการทั้ง 1.บริหารจัดการเอง, และ 2.พิจารณาขายออกไปบางส่วน

สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานปี 2565 ธนาคารตั้งเป้าเป็น “อาเซียน ดิจิทัลแบงก์” ด้วยการพัฒนาดิจิทัล แพลตฟอร์มเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ตั้งแต่การเปิดบัญชี, การลงทุน, การขยายฐานธุรกิจเข้าสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียน ขณะเดียวกันธนาคารจะยังคงเน้นการปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวัง และจะกลับมารุกขยายฐานลูกค้ารายย่อย เนื่องจากประเมินว่าจะเป็นกลุ่มหลักที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งจะเริ่มขยายการลงทุนอีกครั้งในปีนี้

ขณะที่สินเชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ให้บริการโดยบริษัทลูก ได้แก่ บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ และบริษัท เวิลด์ลีส ตามลำดับ จะประสานพลังการทำงานระหว่างกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรและคู่ค้า ตลอดจนใช้ประโยชน์จากดิจิทัลมากขึ้น

โฟกัสรายใหญ่-ย่อย

“เมื่อปี 2564 ธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยประมาณ 60% ของพอร์ตสินเชื่อรวม และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ประมาณ 33%ของพอร์ตสินเชื่อรวม โดยปีนี้ก็จะยังคงเน้นขยายฐานลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มนี้เนื่องจากมองว่าจะเป็นกลไกหลักที่จะหนุนให้เศรษฐกิจทั้งปีโตขึ้นได้ ส่วนกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีธนาคารยังคงชะลอการปล่อยสินเชื่อ เพราะยังเป็นกลุ่มที่มีการฟื้นตัวที่ช้าและมีความเสี่ยงอยู่ การจัดหาแหล่งเงินทุนให้ลูกค้ารายย่อยเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของเรา ธนาคารจะขยับการปล่อยสินเชื่อรายย่อยเข้าสู่ดิจิทัลมากขึ้น”

นอกจากนี้ ธนาคารปักธงจะเป็นผู้นำตลาดธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (wealth management) โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 'Wealth Credit Line' และการจองซื้อหุ้นกู้และพันธบัตรผ่านแอปมือถือเมื่อปี 2564 เพื่อขยายโอกาสและทางเลือกในการลงทุนแบบเปิดกว้างให้ลูกค้า ซึ่งจากการเปิดให้ลูกค้าจองซื้อหุ้นกู้และพันธบัตรตลาดแรกผ่าน CIMB THAI Digital Banking มีการตอบรับดี ธุรกรรมเติบโตรวดเร็ว จึงเดินหน้าเพิ่มบริการจองซื้อหุ้นกู้ตลาดรองเข้ามาเพิ่มเติมในแอปอีกด้วย