#FTE #ทันหุ้น – FTE ส่งซิกผลงานโค้งสุดท้ายดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ความต้องการสินค้าอุปกรณ์ดับเพลิงครบวงจรในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมเติบโตสูง ด้านอสังหารายใหญ่ยังเดินหน้าทำโครงการต่อเนื่อง พร้อมกับทยอยรับรู้งานประมูลช่วงที่เหลือของปีอีกราวๆ150 ล้านบาท หนุนพอร์ตงานในมือเดิม 500 ล้านบาทเพิ่ม

นายทักษิณ ตันติไพจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ FTE ธุรกิจนำเข้าและจำหน่าย บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงครบวงจร เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจและผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2566 คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 10% และดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2566 ด้วยความต้องการสินค้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC หลังจากที่บริษัทได้ขยายตลาดเข้าไปสู่ธุรกิจนี้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวอย่างหนัก

ขณะที่แนวโน้มสำหรับกลุ่มคอนโดมิเนียม ก็ยังถือว่าเติบโตเฉพาะจากกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ซึ่งถือว่ามีกำลังในการพัฒนาโครงการค่อนข้างสูง โดยกลยุทธ์สร้างการเติบโตของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เดิมที่มี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และงานบริการอย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบันแบ่งสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ราว 50% และอีกครึ่งมาจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

*ทยอยรับงานใหม่

ในช่วงที่เหลือของปีบริษัทยังทยอยรับรู้งานอย่างต่อเนื่อง จากก่อนหน้านี้บริษัทมีงานที่ได้มีการยื่นเสนอราคาไปแล้วราว 300 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะรับรู้เข้ามากว่า 50% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกาศผล และบริษัทมีความคาดหวังว่าจะได้รับงานใหม่เข้ามาเติมพอร์ตไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่างานทั้งหมดที่ได้ยื่นเสนอราคาไป ตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ที่รอรับรู้รายได้ปัจจุบันอยู่ที่ราว 500-510 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนออกเป็นงานโครงการติดตั้งระบบดับเพลิงให้กับกลุ่มธุรกิจพลังงานและอสังหาริมทรัพย์กว่า 50%, งานโครงการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ประมาณ 25% และในส่วนที่เหลืออีกราว 25% เป็นสัดส่วนงานติดตั้งระบบดับเพลิงภายในโรงงานอุตสาหกรรม เบื้องต้นคาดว่าประมาณ 50% จะทยอยส่งมอบและรับรู้เป็นรายได้เข้ามาในช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้

* คงเป้าหมายรายได้ปีนี้โต 10%

บริษัทยังคงรักษาระดับเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 2566 ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 10%หรือแตะที่ระดับกว่า 1,200 ล้านบาท จากปี 2565 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 1,094.33ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 80.67 ล้านบาท

ซึ่งในช่วง 6เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 558.42ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 58.79 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 26-27% และ 10%จากในครึ่งแรกปีที่ทำได้แล้วระดับ 26.20% และ 10.53%ตามลำดับ

*ปี 2567 ภาพรวมดีขึ้น

นอกจากนี้บริษัทประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมในปี 2567 จากการที่ประเทศไทยมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้นซึ่งก็จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีกว่าช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทก็จะสะท้อนออกมาทิศทางเดียวกัน ประกอบกับบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์วางรากฐานใหม่ โดยขยายเข้าไปสู่กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อกระจายความเสี่ยงของรายได้ นอกจากนี้มองว่าภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร