#AMATAV #ทันหุ้น – AMATAV โชว์แบ็กล็อกรอโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปี 2566 ราว 60-80 เฮกเตอร์ หลังรัฐบาลเวียดนามเร่งอัดนโยบายกระตุ้นจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ สบช่องลงทุนสาธารณูปโภคทั้งน้ำ-ไฟ ภายในนิคม สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ทั้งยังผนึกพันธมิตรขยายฐานธุรกิจในภาคกลาง สร้างความมั่นคงระยะยาว

นางสมหะทัย  พานิชชีวะ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ยอดขายที่ดินทั้งปี 2566 ที่ราว 60-80 เฮกเตอร์ หนุนจากบรรยากาศการลงทุนในประเทศเวียดนามเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายกระตุ้นการลงทุน สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานช่วงครึ่งหลังของปี 2566 (2H/66) มีแนวโน้มดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก (1H/66) ที่ผ่านมา

เนื่องจากปัจจุบันบริษัทสามารถปิดการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทั้งที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนามได้แล้วราว 40-50 เฮกเตอร์ รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมทางใต้ของเวียดนามอีกราว 20-30 เฮกเตอร์ โดย ณ ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอเอกสารจากหน่วยงานภาครัฐบาลเวียดนาม เพื่อเตรียมส่งมอบให้ลูกค้า

“ปัจจุบันมียอดขายที่ดินรอโอน (Backlog) ที่รอส่งมอบราว 60-80 เฮกเตอร์ ขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ประจำเติบโตขึ้น และด้วยระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมของบริษัทมีเสถียรภาพ จึงมีลูกค้าสนใจเข้ามาลงทุนในนิคมของบริษัทอย่างต่อเนื่อง”

*ผนึกพันธมิตรลงทุน

พร้อมกันนี้ ช่วงเดือนมิถุยนายน 2566 ที่ผ่านมาเวียดนามได้บรรลุข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ร่วมกับอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศทีมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และพร้อมเผยแพร่เทคโนโลยีเหล่านั้นให้กับประเทศพันธมิตร เพื่อให้นักธุรกิจของอิสราเอลสามารถลงทุนขยายกิจการในประเทศพันธมิตรได้อย่างราบรื่น

ดังนั้นบริษัทจึงได้ลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคทั้งโครงการผลิตกระแสไฟฟ้า และจัดหาแหล่งน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงบริษัทยังได้ร่วมทุนกับพันธมิตรจากญี่ปุ่น และสิงคโปร์จัดตั้งกิจการร่วมค้า (JV) เพื่อลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบนพื้นที่ประมาณ 625 ไร่ ในจังหวัดกว๋างนิญ ทางภาคกลางของประเทศเวียดนาม

โดยเบื้องต้นกลุ่มกิจการร่วมค้า ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการแล้ว อยู่ระหว่างรอรัฐบาลเวียดนามจัดตั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงกำหนดสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งจากจีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, และญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน โดยการพัฒนาจะแบ่งออกเป็นคลัสเตอร์ตามสัดส่วนตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

*เล็งขยายพื้นที่เพิ่ม

“ปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าทางภาคเหนือของเวียดนามนั้น เป็นปัญหาระยะสั้น เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าเพิ่มในภาคเหนือมีความล่าช้าจากการจัดทำแผนพัฒนาผลิตไฟฟ้าฉบับที่ 8 (PDP8) เพราะรัฐบาลเวียดนามได้เพิ่มกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากธรรมชาติเข้าไปด้วย สะท้อนจากภาคอุตสาหกรรมได้ทยอยเข้ามาลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น เพื่อรอกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่ม เชื่อว่าเวียดนามจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องไฟฟ้าขาดแคลนได้ ดังนั้นบริษัทจึงเริ่มวางแผนขยายทั้งพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภคเพราะทุกขั้นตอนต้องใช้เวลาพอสมควร”

ทั้งนี้ เวียดนามได้เริ่มใช้แผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับใหม่ที่สนับสนุนการใช้พลังงานสีเขียว (Green Energy) และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มากขึ้น โดยล่าสุดได้เปิดแผนการพัฒนาท่าเรีอน้ำลึกในจังหวัดบ่าเหรียะ-หวุงเต่า (Ba Ria - Vung Tau)ซึ่งรัฐบาลเวียดนามเตรียมผลักดันให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเล รวมถึงเป็นเส้นทางส่งออกสินค้าจากทั้งสปป.ลาว, ไทย ไปยังสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ ในอนาคต จะช่วยกระตุ้นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศได้สูงถึง 7% และสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เข้ามาลงทุนในเวียดนามมากยิ่งขึ้น

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1