#AMATAV# - ทันหุ้น - AMATAV ฟุ้งครึ่งหลังปี 2566 แบ็กล็อกรอโอนเพียบ แถมปักหมุดปี 2566 ยอดขายพุ่งแตะ 70 เฮกเตอร์ รับดีมานด์ขยายตัว เดินหน้าทุ่มงบ 4.5 พันล้านบาท พัฒนานิคม-ช็อปที่ดินใหม่ เสริมพอร์ตการเติบโตระยะยาว

นางสมหะทัย พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 2566 น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งแรกปีนี้ เพราะธุรกิจมียอดขายที่รอโอน (แบ็กล็อก) ที่รอส่งมอบเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ปีนี้ขายที่70เฮกเตอร์

ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอโอน (Backlog) อยู่ที่ราว 60 เฮกเตอร์ จากโครงการนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ โครงการ “อมตะ ซิตี้ ฮาลอง” ฯลฯ โดยประเมินว่าน่าจะสามารถทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึงช่วงไตรมาส 4/2566 ราว 40 เฮกเตอร์ รวมทั้งบริษัทยังมีแนวทางเจรจาลูกค้าใหม่ต่อเนื่อง เพื่อเสริมรายรับของบริษัทในอนาคตให้ดียิ่งขึ้นด้วย

ส่วนทิศทางผลประกอบการปี 2566 บริษัทคาดยอดขายที่ดินไว้ประมาณ 70 เฮกเตอร์ หลังแนวโน้มบรรยากาศการลงทุนในประเทศเวียดนามปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลให้ความต้องการที่ดินของนักลงทุนจากประเทศต่างๆ เติบโตมากขึ้น และถือว่าอีกแรงผลันดันยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของ AMATAV ให้เติบโตตาม หลังบริษัทมีสต๊อกที่รอขายอีกเป็นจำนวนมาก

เล็งขายโรงงานเพิ่ม

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินพร้อมขาย (สต๊อก) อยู่ที่ประมาณ 160-180 เฮกเตอร์ แบ่งเป็นที่ดินในส่วนของอมตะ ซิตี้ ฮาลอง”คิดเป็นพื้นที่ราว 80-100 เฮกเตอร์ และที่เหลือมาจากส่วนอื่นๆ ซึ่งน่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ปัจจุบันทาง AMATAV อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาเกี่ยวกับเรื่องการขายโครงการโรงงานสำเร็จรูป (RBF) ที่เหลืออยู่อีกราว 2 โรงงาน คาดได้เห็นความชัดเจนภายในปีนี้ และน่าจะกลายเป็นอีกแรงสนับสนุนการเติบโตของบริษัทอีกทางหนึ่ง

ทุ่มงบอัพฐาน

นางสมหะทัยกล่าวเสริมว่า ไม่เพียงเท่านั้นทาง AMATAV มีแผนทุ่มเงินลงทุนประมาณ 4.5 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับดำเนินการจัดหาที่ดินแปลงใหม่เข้ามาเพิ่มเติม หวังสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในอนาคตอีกทางหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมากิจการร่วมค้า (JV) ที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบนพื้นที่ประมาณ 625 ไร่ ในจังหวัดกว๋างนิญ ทางภาคกลางของประเทศเวียดนาม ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 20%, นักลงทุนจากสิงคโปร์ ถือหุ้นในสัดส่วน 60%, และนักลงทุนจากญี่ปุ่นถือหุ้นในสัดส่วน 20%

โดยล่าสุดบริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการแล้ว อยู่ระหว่างรอรัฐบาลเวียดนามจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงกำหนดสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งจากจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน โดยการพัฒนาจะแบ่งออกเป็นคลัสเตอร์ตามสัดส่วนตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

สำหรับพื้นที่ดังกล่าวอยู่ติดกับชายแดนประเทศจีน ทำให้มองเห็นโอกาสการเติบโตอีกมาก ดังนั้นบริษัทจึงมีความตั้งใจจะพัฒนาพื้นที่เพิ่มเป็น 4,000ไร่ หรือ 700 เฮกเตอร์ ในอนาคต การจะลงทุนหรือไม่นั้นจากนี้คงต้องรอดูข้อจำกัดและระเบียบต่างๆ ของรัฐท้องถิ่นอีกครั้ง