ทันหุ้น - NOK มองการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจนกลางปี  65 เล็งเจรจาพันธมิตรจับคู่ Travel  Bubble ลุ้นจีนเป็นรายแรก แย้มอยู่ระหว่างขออนุญาตรัฐนำเข้าเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ใหม่ 6 ลำ พร้อมเดินหน้าขยายเส้นทางการบินใหม่ในประเทศเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง-หัวเมืองหลัก กางแผน 3 ปี เล็งออกเงินกู้-เพิ่มทุนต่อเนื่อง มูลค่ารวมกว่า 4.88 พันล้านบาท

ดร.วุฒิภูมิ  จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ที่ทวีความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้มีการล็อกดาวน์และมีมาตรการควบคุมโดยห้ามบินรับส่งผู้โดยสารในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวดหรือห้ามบินในพื้นที่สีแดงอย่างเป็นทางการ ทำให้บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องหยุดกิจการบางส่วนชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัยดังกล่าว แต่คาดว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีความผ่อนคลายลงบ้างแล้ว คาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีการเปิดเส้นทางการบินได้เพิ่มมากขึ้น

เพิ่มเส้นทางบิน-ฝูงบิน

ปัจจุบันบริษัทยังคงดำเนินการในส่วนที่จำเป็นและยังคงเส้นทางการบินบางส่วนที่สามารถดำเนินการได้ให้มากที่สุด เพื่อสนับสนุนความจำเป็นในการเดินทางของคนไทย ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการเปิดเส้นทางการบินทั้งในประเทศ เช่น ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา นครราชสีมา หัวหิน และเบตง เป็นต้น จากขณะนี้ที่บริษัทมีเส้นทางการบินเปิดให้บริการภายในประเทศสูงที่สุดกว่า 23 เส้นทางการบิน หากว่ามาตรการควบคุมต่างๆ เริ่มผ่อนคลายลงในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็คาดว่าภาพรวมการท่องเที่ยวและธุรกิจจะมีการเติบโตที่ทรงตัวใกล้เคียงกับช่วงครึ่งแรกปีนี้

พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขออนุญาตภาครัฐในการนำเข้าเครื่องบินโบอิ้ง (Boeing) ใหม่ รุ่น 737-800 จำนวน 6 ลำเพื่อ เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ดีมากยิ่งขึ้น ลดค่าเสื่อมสภาพ และค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง รวมถึงลดต้นทุนน้ำมันลง เพราะปัจจุบันต้นทุนน้ำมันอยู่ที่ราว 30% จากรายจ่ายทั้งหมด อีกทั้งเครื่องบินลำเดิมที่มีอยู่ใกล้ครบอายุการใช้งานแล้ว จากปัจจุบันที่บริษัทมีฝูงบิน Boeing รุ่น 737-800 จำนวน 14 ลำ และ Q400 เน็กซ์เจน ความเร็วสูง จำนวน 8 ลำ รองรับการให้บริการเส้นทางการบินทั้งในและต่างประเทศอยู่แล้ว

รวมถึงมีแผนจะเพิ่มเครื่องบินลำใหม่เข้าฝูงเฉลี่ยประมาณ 2ลำต่อปี ในปีถัดๆ ไปอีกด้วย ทั้งนี้ในปี 2565บริษัทจะเพิ่มความถี่เส้นทางต่างประเทศมากขึ้น เช่น ประเทศจีน เมียนมา เวียดนาม ญี่ปุ่น และอินเดีย โดย 2 ประเทศที่จะเห็นชัดเจน คือ จีนและญี่ปุ่น และอีกประเทศที่มีความสนใจ ได้แก่ ไต้หวัน เนื่องจากเป็นเส้นทางที่สายการบินนกสกู๊ด ให้บริการอยู่แล้ว อาจเป็นในรูปแบบของโคชแชร์ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นที่มีศักยภาพ ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการพิจารณาจับคู่ Travel Bubble การเชื่อมต่อการเดินทางระหว่าง 2 ประเทศที่สามารถจัดการเรื่องโรคโควิด-19 ได้ดีเท่าๆ กัน ซึ่งมีโอกาสที่จะเห็นการร่วมมือกับทางจีนก่อน เพราะที่ผ่านมาไทยมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวเป็นชาวจีนกว่า 70% ต่อปี

ผู้ถือหุ้นยังซัพพอร์ต

จากการที่ศาลล้มละลายกลางได้กำหนดนัดฟังคำสั่งศาลในการพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการและคำร้องขอแก้ไขแผนรวมถึงคำคัดค้านแผน คำชี้แจง ของผู้ทำแผน ตลอดจนความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในประเด็นต่างๆ แล้ว ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการและคำร้องขอแก้ไขแผนตามมติจากที่ประชุมเจ้าหนี้แล้วนั้น ทำให้จากนี้ไปบริษัทสามารถเดินหน้าฟื้นฟูได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2565 บริษัทมีแผนจัดหาเงินกู้ วงเงิน 280 ล้านบาท และในปี 2566 จะเพิ่มทุนอีก 600 ล้านบาท และในปี 2567 จะมีการเพิ่มทุนอีก 4,000 ล้านบาท ซึ่งการจัดการเงินกู้และเพิ่มทุนดังกล่าว เพื่อเป็นไปตามกระบวนการแผนฟื้นฟูธุรกิจ ยกระดับสายการบินโลว์คอสต์ให้เป็นสายการบินระดับพรีเมียมแอร์ไลน์

"ช่วงโควิดสายการบินได้รับบาดเจ็บกันทุกราย โดยเฉพาะในด้านของเงินทุนและทำให้ขาดสภาพคล่อง เพราะไม่สามารถเปิดให้บริการได้ ประกอบกับที่ผ่านมาสายการบินมีการแข่นขันราคาค่อนข้างสูง ต่อไปนี้การแข่งขันราคาจะเบาบางลง เพราะแข่งก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่เรายังได้เปรียบที่ผู้ถือหุ้นยังให้ความสนับสนุน แม้ว่าเราไม่ได้รับการสนับสนุนจาก EXIM BANK เนื่องจากไม่ใช่ลูกค้าเก่าทำให้เราไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว อย่างไรก็ดี เราประเมินว่าหากปลายปีรัฐคลายล็อกการเดินทางและการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในกลางปี 2565เป็นต้นไป" ดร.วุฒิภูมิ กล่าว