ทันหุ้น – EPG แววผลงานงวดบัญชี Q4/2564 มีเซอร์ไพร์ส รับดีมานด์ทะลักอื้อ แถมคุมเข้มต้นทุนได้แจ๋ว ด้าน “ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์” รับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า หนุนรายได้ต่างประเทศพุ่ง ส่วนปีนี้ยืนเป้ารายได้ทะลุ 9 พันล้านบาท ฟากโบรกเกอร์ แนะสอย อัพเป้าใหม่ 14.50 บาท ฟันธงกำไรโค้งท้ายโตอลังกาลโตเกิน 80%

แหล่งข่าววงการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจของธุรกิจบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG น่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดผลประกอบการงวดบัญชีไตรมาส 4/2564 (ม.ค.-มี.ค.64) น่าจะเติบโตอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากแนวโน้มคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ทั้งกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์

(AEROKLAS) , ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (AEROFLEX), กลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์อาหาร (EPP) ขยายตัว ตลอดจนธุรกิจยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ คาดน่าจะสามารถแจ้งตัวเลขที่ชัดเจนต่อทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2564

อย่างไรก็ดี จากการสำรวจข้อมูลล่าสุดทาง EPG มีสัดส่วนการผลิตและขายสินค้าในต่างประเทศประมาณ 60%, ส่วนที่เหลืออีกราว 40% นั้นมาจากการจัดจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าในประเทศ

ส้มหล่นรับบาทอ่อน

ด้านรศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG กล่าวว่า ในงวดบัญชีปี 2564 (เม.ย. 63- มี.ค.64) บริษัทประเมินว่ารายได้คงเป็นตามเป้าที่ตั้งไว้มากกว่า 9 พันล้านบาท ผลมาจากธุรกิจในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจวัสดุก่อสร้างขยายได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากกลุ่ม EPP เพิ่มเติมด้วย

ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องจนล่าสุดมาอยู่ที่ราว 31.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (อิงข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ 20 พฤษภาคม 2564) บริษัทประเมินน่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจ เพราะช่วยสนับสนุนให้รายได้จากต่างประเทศขยายตัวมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ จากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ที่เกิดขั้น รวมทั้งคณะกรรมการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)หรือ ศบค. มีมติให้ปรับเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการนั้นถือเป็นแรงสนับสนุนให้ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อบริโภคที่บ้านขยายตัว รวมทั้งยังช่วยผลักดันยอดขายในกลุ่ม EPP อีกทางหนึ่ง

สำหรับแนวทางทางการบริหารงานของบริษัทนั้นยังมุ่งให้ความสำคัญกับการลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือ“USE” (U: Utilization การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า S: Save การประหยัดค่าใช้จ่าย และ E: Efficiencyการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) มาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้ภาพรวมธุรกิจในช่วงที่เหลือปีนี้เติบโต ได้ดียิ่งขึ้น

โค้งท้ายพุ่งทะลุ80%

ขณะที่งบลงทุนงวด 3 ปีนับจากนี้ (งวดบัญชีปี 64-66) บริษัทตั้งไว้ราว 589 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในกลุ่ม "AEROFLEX" อยู่ที่ 376 ล้านบาท, เงินกลุ่มธุรกิจธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ราว 145 ล้านบาท, กลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารอีก 68 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินของธุรกิจโดยรวมให้ดีขึ้นและสนับสนุนการเติบโตในอนาคต

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้น EPG เนื่องจากคาดกำไรปกติในงวดบัญชีไตรมาส 4/2564 (สิ้นสุด มี.ค. 64) ที่ประมาณ 443 ล้านบาท  เติบโต 80.3% แต่หากไม่นับรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และเงินช่วยเหลือโควิด-19 จากออสเตรเลีย กำไรปกติอยู่ที่ 418 ล้านบาท โต 96.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะได้แรงหนุนบวกจาก 3 ธุรกิจหลักที่สดใส ผลักดันรายได้จากยอดขายคาดโต 13.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดอยู่ที่ 33.2% ดีขึ้น จาก 28.4% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

อัพเป้า14.50 บาท

ดังนั้น จากปัจจัยดังกล่าว ประกอบกับ ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิของ EPG ในปี 2564 ดีกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินก่อนหน้าที่ 1,094 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1,257 ลบ. เติบโต 25.4% จากปีก่อน อีกทั้งฝ่ายวิเคราะห์คาดจะเติบโตต่ออีก 9.2%ในปี 2565 เป็น 1,372 ล้านบาท จากพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ให้คำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น EPG ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 14.20 บาท จากเดิมที่ระดับ 10.40 บาท