KKP รายงานผลประกอบการงวดปี 2563 มีกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาท หดตัวลง 14.4%YoY โดยมีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มพอร์ท Hire Purchase โดยขยายตัวกว่า 18% ส่วนในพอร์ทรายย่อยยังเติบโตได้ดี ส่งผลให้สินเชื่อโดยราวสิ้นปี 2563 ขยายตัว 12.4%YoY และมี NIM เพิ่มขึ้น 4.4% จากปีก่อนที่ระดับ 4.2%ซึ่งเป็นผลของ Loan yield ที่เพิ่มขึ้นและ Cost of Fund ที่ลดลงจากการลดนำเงินส่ง FIDF ด้านคุณภาพลูกหนี้ดีขึ้นจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของภาครัฐโดยมี NPL ratio ทรงตัวที่ระดับ 3.2% เมื่อเทียบ QoQ แต่ถ้าเทียบกับปีก่อนจะอยู่ที่ระดับ 4.0% ขณะที่ Credit cost เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 1.36% สู่ระดับ 2.55% ในปี 2563 แต่ทั้งนี้เริ่มเห็นการตั้ง Excess reserve ที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และมี Coverage ratio สูงขึ้นต่อเนื่องมาเป็น 170.9% จากสิ้นปี 2562 ที่ระดับ 111.2% ส่วนธุรกิจตลาดทุนค่อนข้างโดดเด่นในปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะธุรกิจ Brokerage fees และ Investment

สำหรับเป้าหมายทางการเงินของ KKP ในปี 2564 ธนาคารตั้งเป้า ROAEทรงตัวจากปีก่อนที่ระดับ 11-12% ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่ออยู่ที่ 5% โดยมี Loan spread อยู่ในช่วง 5.2-5.4%เทียบกับปีก่อนที่ระดับ 5.5% ส่วนคุณภาพลูกหนี้ได้ตั้งเป้า gross NPLs ratio ไม่เกิน 4.5% และ Credit cost ที่ระดับต่ำกว่า 2.5% ซึ่งน้อยกว่าปีก่อนที่ระดับ 2.55% อย่างไรก็ดี งบดุลของ KKP สิ้นเดือน ม.ค. สินเชื่อขยายตัว 0.5%YTDจากกลุ่มเช่าซื้อ (HP) เป็นหลัก

ด้านกลยุทธ์เรามองว่า KKP เป็นหนึ่งในหุ้นที่ผลการดำเนินงานจะโดดเด่นในปีนี้ โดยเฉพาะธุรกิจตลาดทุน และแนวโน้มของ Credit cost ที่ลดลงและ Cost to Income ที่ลดลง จะช่วยหนุนผลประกอบการในปีนี้ รวมถึง Dividend yield ปัจจุบันที่สูงกว่า 3.6% ซึ่ง KKP ประกาศจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 2.25 บาท ขึ้น XD วันที่ 29 เม.ย. 64 รวมถึงภาพรวม sentiment ของการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาปรับตัวขึ้น

แนะนำ “เคาะ” ครับ ทางด้านปัจจัยเทคนิค แนวโน้มการปรับตัวลงมีโอกาสจบรอบขาลงด้วยจุดต่ำแท่งเทียนคู่ 60.00 การเรียงตัวแท่งเทียนทำLower UpและกลับยืนเหนือSMAทุกเส้นที่ทำหน้าที่เส้นแนวรับ 61.25 เป็นสัญญาณบวก โดยการแกว่งตัวคาดอยู่ในกรอบของสามเหลี่ยมAscendingที่มีแนวต้านหลัก 64.00 ผ่านยืนมั่นคงเป็นสัญญาณซื้อของรูปแบบ 

คำแนะนำของ ASL

กรณี “มีหุ้น” ถือ เพิ่มการลงทุน/แนวต้าน 62.75/64.25 มีโอกาสทดสอบ

กรณี “ไม่มีหุ้น” ซื้อระยะสั้นเน้นยืนแนวรับ 61.25/60 ไม่ควรต่ำกว่า