ทันหุ้น - สู้โควิด - บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง BJC ว่า ปรับลดประมาณการกำไรลงจาก SSSG ของบิ๊กซีฟื้นตัวช้ากว่าคาด อย่างไรก็ดีธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีทั้งในด้านยอดขายและอัตรากำไร ประกอบกับ BJC มีค่าใช้จ่ายลดลงจากการลดพนักงานภายใต้การปรับโครงสร้างบริษัทที่จะเริ่มเห็นผลชัดเจนตั้งแต่ 4Q63 โดยเราคาดว่ากำไร 3Q63-4Q63 ยังลดลง YoY แต่จะฟื้นตัวอย่างมีนัยยะจากจุดต่ำสุดในช่วงล็อกดาวน์ แนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ (DCF) 46 บาท จากเดิมที่ 48 บาท

เราปรับประมาณการกำไรปี 2563-2564 ลง 22% และ 15% ตามลำดับ จากการที่ SSSG ของบิ๊กซีฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเดือน ก.ค. - ส.ค. ยังติดลบ 15-16% เทียบกับ -17% ใน 2Q63 ซึ่งกระทบต่ออัตรากำไร อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานจากการปรับโครงสร้างองค์กรในปีนี้ ก่อนที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพนักงานได้ 1 พันล้านบาท/ปี ซึ่งจะเริ่มเห็นผลเต็มที่ตั้งแต่ 4Q63 เป็นต้นไป

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีทิศทางดีขึ้นจากการมีกลุ่มลูกค้ากระจายไปยังกลุ่มที่ไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น โรงงานขวดแก้วมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเต็มจนถึงสิ้นปีนี้จากทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ส่วนธุรกิจกระป๋องมีแนวโน้มดีขึ้นจากลูกค้าใหม่ เช่น กาแฟ น้ำมะพร้าว และ เบียร์ 500 ml.

อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น YoY เนื่องจาก Economies of scale จากการปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น และต้นทุนพลังงานลดลง ส่วนมาตรการกระตุ้นการบริโภค วงเงินรวม 51,000 ล้านบาท จากโครงการ คนละครึ่ง และการเพิ่มค่าครองชีพในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น คาดว่าจะส่งผลบวกทางอ้อมต่อบิ๊กซี และยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคของ BJC ได้ส่วนหนึ่ง โดยรวมแล้วคาดว่ากำไร 3Q63 ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในช่วงล็อกดาวน์ และดีขึ้นต่อใน 4Q63 แต่ยังลดลง YoY

BJC ทำธุรกิจที่ใช้พลังงานและบุคคลากรจำนวนมาก จึงมีความท้าทายด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมไปถึงประเด็นเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อแรงงานที่เป็นธรรม บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วและกระป๋อง ซึ่งเป็นหนึ่งใน Sustainable packaging ที่อาจมาทดแทนการใช้พลาสติกมากขึ้นในอนาคต