ทันหุ้น –สู้โควิด- ถอดรหัสAOT “นิตินัย ศิริสมรรถการ”ปรับยุทธศาสตร์ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางขนส่งสินค้า เจรจายืดสัญญาแอร์พอร์ตซิตี้อีก20 ปี มุ่งหนักธุรกิจ Non-Aero ปลายปีเห็นผล ชี้หลังโควิดจะผู้โดยสารจะทยอยฟื้นตัว เตรียมลดค่าจอดสายการบินที่ลำบากอีก50%แต่รับปากจะดูแลผู้ถือหุ้น

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวทางการบริหารธุรกิจในช่วงวิกฤตโควิด ด้วยการมุ่งเน้นไปสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจขนส่งสินค้า หรือ การเป็นฮับธุรกิจคาร์โก้ ซึ่งจะสอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนี้ ที่สายการบินเตรียมรวมตัวกันจัดหาเครื่องบินมาเน้นการขนส่งสินค้า เพื่อสร้างรายได้จากธุรกิจคาร์โก้เข้ามาชดเชยรายได้การขนส่งผู้โดยสาร

“ที่ผ่านมาการขนส่งสินค้าเป็นเพียงธุรกิจเสริมใช้พื้นที่เหลือในการขนส่ง ไทยจึงไม่สามารถเป็นฮับการขนส่งสินค้าทั้งที่ทำเลที่ตั้งดีมาก เมื่อผ่านวิกฤตินี้ไปเชื่อว่าการเดินทางจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป กว่าจะกลับมา 100% ก็น่าจะต้องมีวัคซีนป้องกันโควิด-19ออกมาอย่างแพร่หลาย ดังนั้นหากผู้ประกอบธุรกิจการบินหันหน้าเข้าหากัน จัดหาเครื่องบินมาเพื่อบินขนส่งสินค้าเต็มลำได้ ไทยก็จะเป็นฮับของธุรกิจคาร์โก้ได้ไม่ยาก” นายนิตินัยกล่าว

@ รุกฐาน Non-Aero

นายนิตินัย กล่าวว่า ในระยะ 2ปีที่ผ่านมาธุรกิจการบิน (Aero) ของ AOT เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงจากข้อจำกัดของพื้นที่ ทั้งศักยภาพในการให้บริการสายการบินต่างๆ, จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มลดลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 ต่อเนื่องปี 2562, รวมถึงสายการบินโลว์คอสต์ที่เริ่มถึงจุดอิ่มตัว

ดังนั้นจึงปรับกลยุทธ์เน้นเร่งสร้างรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่การบิน (Non-Aero) มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 โดยตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Aero : Non-Aero ในงวดปี 2563 ที่ 55:45 และเพิ่มเป็น 50:50 ในงวดปี 2564 (จากปัจจุบันที่ 57:43)

ทั้งนี้แม้ AOT จะพิจารณาลดค่าเช่าพื้นที่ให้ผู้ประกอบการแต่ก็เป็นเพียงระยะสั้น ขณะเดียวกันโครงการอื่นก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้ง โครงการศูนย์ตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนส่งออก (Certify Hub) ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัท โดย AOT ถือ 49% ตลอดจนเมืองการบิน(Airport City), Digital Platform, รวมทั้งจะมีรายได้จาก AOT Digital Airports ในรูปแบบแอพพลิเคชั่นที่อยู่ระหว่างพัฒนารูปแบบการให้บริการที่ครอบคลุม อำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้เดินทางได้อย่างมาก เมื่อภาวะวิกฤติคลี่คลายก็จะสามารถให้บริการเต็มรูปแบบ (Full option)ได้ทันที

@ ลุยปั้นเมือง

สำหรับโครงการ Airport City ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุที่มีอายุเช่าเพียง 12 ปี บริษัทได้หารือในหลักการกับกรมธนารักษ์ที่แก้ไขระยะเวลาโดยขยายเวลาสิ้นสุดออกไปเป็นปี 2595 จากที่จะสิ้นสุดในปี 2575โดยคาดจะมีการลงนามสัญญาได้ใน 1-2 เดือนนี้

ขณะที่ดินอีกแปลงที่อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ 725 ไร่ อยู่ระหว่างเปลี่ยนสีผังเมืองจากสีเขียวเข้มมาเป็นสีน้ำเงิน (พื้นที่โซนราชการ) ทางคณะกรรมการบริษัทได้แต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์การลงทุนในการพิจารณาโครงการต่างๆที่มีเอกชนเสนอเข้ามาแล้วกว่า 40 รายทั้ง 2แปลงให้เหมาะในแต่ละพื้นที่ทั้ง 2โครงการจะเสร็จในช่วงไตรมาส 4/2563จึงคาดว่าจะสร้างรายได้ได้ระดับหนึ่ง

ทางด้านบริษัท รักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานไทย จำกัด ที่มี AOT ถือหุ้นสามัญ 49%ก็คาดว่าจะสร้างรายได้เข้ามาได้ในระดับหนึ่ง

“ปัจจุบัน AOT บริหาร 6ท่าอากาศยาน ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, หาดใหญ่, เขียงใหม่ และ เขียงรายจากที่เคยมีผู้เดินทางผ่านเข้า-ออกรวมมากกว่า 4แสนคนต่อวัน ณ ปัจจุบันมีประมาณ 7 พันคน แต่เรายังคงดำเนินงานหลังบ้านตามปกติทุกอย่าง เร่งเจรจากับกรมธนารักษ์ เดินหน้าแก้ผังเมือง เร่งพัฒนาแอพพิเคชั่นของเราให้พร้อม

อย่างไรก็ดีการที่อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (แซทเทิลไลท์) จะสามารถเปิดให้บริการช่วงปลายปี 2563 หากวิกฤติโควิด-19 ผ่านพ้นไป ก็ยังน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะประคองรายได้ในงวดปี 2563 ไว้”

@เล็งลดค่าจอดเครื่องบิน50%

นายนิตินัย ระบุด้วยว่า เมื่อพ้นวิกฤต บริษัทในฐานะ “ประตูสู่ประเทศไทย” จะทยอยฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ AOT จึงต้องรักษาร้านค้า สิ่งอำนวยความสะดวก พร้อมให้บริการ ดังนั้นการช่วยเหลือด้วยการลดค่าเช่าแบ่งเบาภาระถือว่าเหมาะสม รวมถึงเตรียมนำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ (บอรด์) เพื่อพิจารณาปรับลดค่าจอดเครื่องบิน 50% ให้กับผู้ประกอบการสายการบินที่ไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ ด้วย อย่างก็ดีจะยังคงบทบาทการดูแลผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น ด้วยการเร่งสร้างรายได้ให้กลับมา โดยเฉพาะในส่วนของการขนส่งสินค้าซึ่งได้เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ปลายปี 2562 แล้ว