อัพเดทล่าสุด 24 ม.ค. 2563 1.25 น. ตามเวลาในไทยองค์การอนามัยโลกประกาศภาวะฉุกเฉินระดับโลกโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ระบาดทั่วโลก หลังพบการระบาดแพร่จากจีน สู่ประเทศต่างๆ ล่าสุด 654 คน ตาย 25 คนประเทศที่พบเคส ไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเก๊า สิงคโปร์ เวียดนาม ฮ่องกง

เราจะเห็นว่ากลุ่มหุ้นที่คาดว่าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดนี้ ได้ปรับลงกันอย่างทั่วหน้าไประดับหนึ่งแล้ว ซึ่งหากการแพร่ระบาดอยู่ในวงจำกัด เราเชื่อว่าราคาหุ้นในกลุ่มเหล่านี้จะฟื้นตัว อาทิ AOT  ราคาหุ้นปรับลงค่อนข้างเร็วและสะท้อนข่าวลบต่อการแพร่ระบาดไปนานเป็นอาทิตย์แล้ว พอWHOออกมาประกาศภาวะฉุกเฉิน อันนี้ถือเป็นข่าวดี ที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะได้ระวังและจะเป็นการจำกัดการแพร่ระบาดได้ดี เพราะทุกคนจะให้ความร่วมมือ

ผลต่อตลาดฯคาดว่าจะไม่มากเพราะไม่คาดว่าจะเหมือน SARS (2003) แต่ผลต่อหุ้นไทย จากสถิติ การเกิดโรคระบาดจะเป็นลบต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, สายการบิน และสนามบิน มากสุด โดยจะมีผลกระทบมากในช่วง 3 เดือนแรกผลกระทบที่มาถึงตลาดหุ้นไทย มาจากการแพร่เชื้อจากการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ (หรือคนไทย)ที่เดินทางเข้ามายังไทย ครั้งนี้ ต้นกำเนิดของไวรัสอยู่ที่มณฑลอู่ฮั่น ของประเทศจีน ทำให้มีการประเมินว่า จะมีผลต่อการเดินทางท่องเที่ยวของคนจีน ในช่วงเทศกาลตรุษจีนและ Golden Week ปีนี้ ช่วงวันที่ 25-30 ม.ค.20 สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไปแล้ว หากควบคุมได้ก็จะอยู่ในวงจำกัด

กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลลบ คือกลุ่มท่องเที่ยว (ERW, CENTEL, MINT), สายการบิน (AAV, BA, THAI) และสนามบิน (AOT) และคาดว่าราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะ underperform SET ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าได้ และนำแนะให้หลีกเหลี่ยง

ส่วนกลุ่มที่จะได้รับผลบวก คือ กลุ่มโรงพยาบาล โดยราคาหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในช่วง 1 เดือน หลังจากพบโรคระบาด โดยเราชอบหุ้น BCH และ CHG มากกว่า ขณะที่ BDMS และ BH ยังมีความเสี่ยงจากคนไข้ต่างชาติที่อาจลดลงได้

เราจำแนก Sector ออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มแรก : กลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางตรงก่อนกลุ่มอื่นๆ โดยจะมีผลต่อราคาหุ้นทั้งในเชิงจิตวิทยาและรายได้ที่ลดลง

กลุ่มที่สอง     : คือ     กลุ่มที่จะถูกกระทบถ้ามีการแพร่ระบาดเข้ามายังประเทศไทย

กลุ่มที่สาม : เป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์