#SMT #ทันหุ้น - SMT ส่งซิกผลงานไตรมาส 3-4 ปี 2566 โตต่อเนื่อง รับอานิสงส์คำสั่งซื้อต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประกอบกับมีปัจจัยบวกอานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อน มีแผนขยายตลาดออสเตรเลีย-ญี่ปุ่นเพิ่ม รวมถึงมุ่งสู่ตลาดรถยนต์ EV ต่อเนื่อง คาดปีหน้าสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 50% ตั้งเป้าผลงาน 5 ปี รายได้แตะ 1 หมื่นล้าน

นายวิรัตน์ ผูกไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT เปิดเผยว่า เเนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 3/2566 คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าไตรมาสที่ 2/2566 โดยมีสัญญาณบวกของส่วนธุรกิจสินค้าอุปกรณ์การสื่อสารผ่านเส้นใยแก้วนำแสง (Optics) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูง และถือว่าเป็นตัวชูโรงในปีนี้ มีสัญญาณคำสั่งซื้อเพิ่มเข้ามา ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 – 4

ส่วนธุรกิจบริการประกอบและการทดสอบแผงวงจรรวม (Outsourced Assembly and Test หรือ OSAT)ซึ่งเป็นสินค้าประเภท IC Packaging ที่ผ่านมามีคำสั่งซื้อชะลอตัว โดยคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4/2566

นอกจากนี้บริษัทยังมีการเติบโตในตลาดหลักๆ อาทิ ประเทศยุโรป เอเชีย สหรัฐฯ ที่ความต้องการสินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2565 และบริษัทยังเดินหน้านำสินค้าไปแสดงตามนิทรรศการในประเทศต่างๆ และมีการจัดตั้งสำนักงานขายในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ ยุโรป เยอรมัน และประเทศจีน เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และมีแผนขยายลูกค้าไปยังกลุ่มไฮเอนด์มาร์เก็ต โดยมองว่ามีกำลังซื้อสูงเพิ่มขึ้นอีก

ขยายตลาดใหม่เพิ่ม

สำหรับการเติบโตในปี 2566 บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก หรือราว 3,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามต้นปีคาดว่ารายได้จะเติบโต 4,000 ล้านบาท ตัวเลขที่ลดลงเนื่องจากการชะลอตัวของธุรกิจ ทำให้สินค้าทุกกลุ่มโดยรวมลดลง  

โดยกลยุทธ์การเติบโตปี 2566 บริษัทเน้นขยายลูกค้าในในประเทศใหม่ๆ อาทิ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีตลาดชิ้นส่วนยานยนต์เติบโตสูง ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า 2-3 บริษัท นอกจากนี้บริษัทยังได้เริ่มเข้าไปทำตลาดในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีกด้วย

นอกจากนี้บริษัทยังมีปัจจัยบวกจาก ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจนล่าสุดมาอยู่ประมาณ 34.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (อิงข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ 25 ก.ค. 2566) บริษัทมองเป็นผลบวกต่อการดำเนินงาน เพราะช่วยสนับสนุนรายได้จากต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น

บุก EVเพิ่มสัดส่วนรายได้

นอกจากนี้บริษัทยังบุกตลาด EV จากแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์หันมาใช้เชื้อเพลิงพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ส่งผลให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มตลาดนี้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก จนล่าสุดมีสัดส่วนรายได้กลุ่มข้างต้นเพิ่มเป็น 30% และน่าจะเห็นทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากนี้ด้วย โดยคาดว่าปี 2567 จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 50%

“ปีหน้าเราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท และ เชื่อว่าใน 5 ปี ยอดขาย 10,000 ล้านบาท จะทำได้ไม่ยาก เพราะเรามีการขยายตลาด มีออเดอร์ในมือ โดยเฉพาะ EV Charger Controller และ สินค้ากลุ่ม Audio Backplate ซึ่งปีนี้น่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 300-400 ล้านบาท ส่วนปีหน้าจะรับรู้มากกว่า 50% ของยอดขาย” นายวิรัตน์ กล่าว

ลงทุนเครื่องจักร

นอกจากนี้บริษัทยังมีการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาราว 50 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักร เพื่อรองรับการผลิตของธุรกิจ  OSAT เพราะในปัจจุบันมีความต้องการเพิ่มขึ้น และใช้เพื่อลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ในช่วงที่เหลือของปีก็คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 20-30 ล้านบาท ทางด้านงาน IT ที่เกี่ยวกับรถยนต์ ส่วนในปี 2567 บริษัทจะพิจารณาการก่อสร้างโรงงานใหม่เพิ่มเติม โดยปัจจุบันยังอยู่ในแผน ปัจจุบันบริษัทมีเงินสด ณ ไตรมาสที่ 2/2566 ราว 155 ล้านบาท  และมีอัตราหนี้สินต่อทุน D/E อยู่ที่ 0.29% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี