17 กรกฎาคม 2023 เวลา 06:00 น.
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนโดยตรงผ่าน Holding Company ในตราสารหนี้และตราสารทุน โดย ณ สิ้นปี 2565 LHFG มีรายได้หลักมาจากการปล่อยสินเชื่อผ่าน ธนาคารแลนด์ แอน เฮาส์ (LHBANK) คิดเป็นสัดส่วนราว 86% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่ง LHBANK มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้ากลุ่มบริษัท (Conglomerate & Corporate) ราว 47% ในปี 2565 ขณะที่สัดส่วน SME, ลูกค้าทั่วไป (Retail) และ ลูกค้าจากไต้หวัน (TWN) อยู่ที่ 30%, 19% และ 4% ตามลำดับ
หลังจากที่บริษัทเร่งตั้งสำรองไปมากตั้งแต่ช่วง 2H/64 จน Coverage Ratio เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 109% ณ สิ้นปี 2563 เป็น 207% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายของบริษัทที่ 225% และเพียงพอสำหรับการรองรับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจในอนาคต จึงทำให้ความจำเป็นในการเร่งตั้งสำรองน้อยลง เป็นผลให้ 1Q/66 บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 670 ล้านบาท (+94.3% QoQ, +30.9% YoY) เติบโตสูง QoQ จาก Credit Cost ที่ลดลงไปมาก แม้ NIM ทรงตัวและพอร์ตสินเชื่อหดตัวจากการโอนลูกหนี้บางส่วนไปยังโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ (Asset Warehousing) ของธปท. ขณะที่ YoY เติบโตตามพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัวถึง 16.2% YoY ประกอบกับ NIM ที่สูงขึ้นตามสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อ SME และ Retail
สำหรับแนวโน้ม 2Q/66 เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิราว 715 ล้านบาท (+6.7% QoQ, +206.5% YoY) การเติบโตสูง YoY หลักๆ มาจาก Credit Cost ที่ลดลงเหลือ 0.9% จาก 1.7% ใน 2Q/65 เพราะบริษัทไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองสูงเหมือนปีก่อน หลังจากเร่งตั้งสำรองไปมากจน Coverage Ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 210% แล้ว ณ สิ้น 1Q/66 ประกอบกับพอร์ตสินเชื่อที่คาดโต 14.9% YoY เป็น 2.24 แสนล้านบาท และ NIM ที่สูงขึ้นจาก 2.6% ใน 2Q/65 เป็น 2.7% จากการปรับสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อ ส่วน QoQ คาดจะเติบโตตามพอร์ตสินเชื่อ และ NIM ที่ขยับขึ้น หลังธปท. ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งใน 2Q/66 ซึ่งบริษัทสามารถทยอยส่งผ่านต้นทุนดอกเบี้ยให้กับกลุ่มลูกค้าได้เร็ว ทั้งในฝั่งของลูกค้า Conglomerate ที่ส่วนใหญ่เป็นสัญญาดอกเบี้ยลอยตัว และพอร์ตลูกหนี้รายย่อยมีสัดส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่มาก ทำให้คาดสามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ได้เร็วกว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น
จากการประเมินมูลค่าพื้นฐานด้วย Prospective P/BV โดยอิง Sustainable ROE ที่ 7.5 - 9.5% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 8-10% เล็กน้อยเพราะเรา Conservative จากความเสี่ยงด้านปัจจัยการเมือง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง และอิง Cost of Equity ที่ 8.9% ได้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2566 ที่ 1.18 – 1.65 บาทต่อหุ้น (ค่ากลาง 1.41 บาทต่อหุ้น) คิดเป็น P/BV ที่ 0.64 – 0.90 เท่า ขณะที่ราคาปัจจุบันซื้อขายบน P/BV เพียง 0.60 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารขนาดกลาง – เล็กที่ราว 1 เท่า และยังต่ำกว่าต้นทุนของ CTBC ที่เข้ามาซื้อในปี 2564 ณ ราคา 1.80 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการ 1H/66 ที่ราว 0.024 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 2.1%
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?igshid=YTY2NzY3YTc=
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม