> อาหารสมอง > LPN

23 พฤศจิกายน 2021 เวลา 18:45 น.

3 Mega Trends พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย

ความเป็นส่วนตัว-สุขภาพ-เทคโนโลยี เป็น 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2565


นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS)   บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยและงานบริการในปี 2565 ว่า จากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตั้งแต่ปี 2563-ปัจจุบัน ทำให้พฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลเปลี่ยนแปลงไป


โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพและสุขอนามัยในการอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น มีความต้องการพื้นที่ในการทำงานที่บ้าน (Work from Home)และตอบรับกับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนให้กับอยู่อาศัยทั้งบ้านพักอาศัยและอาคารชุดพักอาศัยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น และเป็นแนวโน้มสำหรับการพัฒนาที่ยู่อาศัยในปี 2565 ที่การออกแบบต้องให้ความสำคัญใน 3 Mega Trends ที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย และแก้ปัญหา (Pain Point) ในการอยู่อาศัยของผู้ซื้อในปัจจุบันและอนาคต ได้แก่


  • Well-Being การออกแบบที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตอย่างมีสุขอนามัยที่ดี
  • Smart Living รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปโดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างสมดุล
  • Virtual-Connecting การพัฒนาทางเทคโนโลยี นำไปสู่พัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตปกติในบริบทใหม่

Well-Being : การออกแบบที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตอย่างมีสุขอนามัยที่ดี


การออกแบบบ้านและอาคารคอนโดมิเนียม  แบบ คำนึงถึงสุขภาพของผู้ใช้อาคาร ประกอบด้วย อากาศ น้ำ โภชนาการ แสงสว่าง การเคลื่อนไหว สภาวะน่าสบาย เสียง วัสดุอาคาร จิตใจ และชุมชน

  • การออกแบบช่องเปิด เพื่อการระบายอากาศที่ดีและเปิดรับแสงธรรมชาติอย่างเหมาะสม
  • มีบริเวณสำหรับปลูกพืชผักสวนครัวเล็กๆ เพื่อเพิ่มการกินผักและพื้นที่ปลูกต้นไม้ยังส่งเสริมสภาพจิตใจ
  • ออกแบบทางเดินหรือบันไดให้น่าเดิน เพื่อส่งเสริมให้คนเคลื่อนไหวมากขึ้น
  • ลดเสียงดังรบกวนจากภายนอกอาคารด้วยการปลูกต้นไม้ตามทิศทางของเสียง
  • หรือแม้แต่การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ตอบรับกับสรีระ เพื่อลดอาการปวดเมื่อย (Ergonomic) เป็นต้น

Smart-Living : รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปโดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างสมดุล


นักวางผังเมืองเริ่มให้ความสนใจกับแนวคิด “เมือง 15 นาที” คือ การปรับเมืองเล็กๆ ให้เป็นเหมือนกับหมู่บ้านหรือย่านที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่ และเข้าถึงได้โดยง่ายแม้แต่การเดินหรือจักรยาน


การออกแบบที่อยู่อาศัยในวงการอสังหาริมทรัพย์จึงควรตอบรับกับแนวคิด “เมือง 15 นาที” นี้มากขึ้น เช่น การตั้งโครงการอยู่นอกเมืองแต่ใกล้กับแหล่งชุมชน มีพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับชุมชนมากขึ้น รวมไปถึงการจัดเตรียมพื้นที่ที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับระหว่างกลุ่มผู้อาศัย และมีพื้นที่สาธารณูปโภคที่ครบครัน

Virtual-Connecting : การพัฒนาทางเทคโนโลยี นำไปสู่พัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตปกติในบริบทใหม่


ในปี 2565 นิตยสาร Forbes ได้คาดการณ์ว่าจะเกิด 10 Digital Transformation Trends ไว้ เช่น นโยบาย Work From Home หรือ Work Mega Shift ทำให้เกิดการพัฒนาและใช้งานที่เกี่ยวกับ Smart Work From Home มากยิ่งขึ้น  

โดย Forbes กล่าวว่าเราอาจจะได้เห็นการอพยพของประชากรจากเมืองหลวงสู่ชนบท  ส่งผลให้เกิดการลงทุนด้านเครือข่ายและการเชื่อมต่อในพื้นที่ชนบทเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น Forbes ยังได้คาดการณ์เรื่อง Smart Cars and Cities คือ ไม่ใช่เพียงรถพลังงานไฟฟ้าจะมีเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด แต่เมืองจะต้องพัฒนาโครงสร้างเพื่อตอบรับ Smart Cars นี้ด้วย 


เช่น  จุดชาร์จรถไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น  การเชื่อมต่อระหว่างรถกับเมืองด้วย IOT  ไปจนถึง Privacy คือ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยี  รวมถึงกระแส  Metaverse อีกด้วย  


ซึ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้มีความเคลื่อนไหวโดย MQDC ได้เข้าร่วมกับโปรเจค Translucia  เป็น Property Developer  รายแรกที่จะเข้าไปพัฒนาเมืองในโลกสเมือนจริงแห่งนี้   จึงเป็นที่น่าจับตามองของวงการอสังหาริมทรัพย์ต่อไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น


นอกจากนี้ ยังมีเรื่อง Power of AI  ที่จะมีส่วนในชีวิตประจำวันของคนเป็นอย่างมาก เช่น Google Home ที่ผู้ใช้งานมีความเห็นว่าสามารถควบคุมแอปพลิเคชันและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้าน ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ยังคงมีสืบเนื่องมาตลอดในการออกแบบพื้นที่พักอาศัย


จากข้อมูลการสำรวจความต้องการของกลุ่มคนทำงานที่มีความคาดหวังเกี่ยวกับงานบริการในอาคารชุดของ “ลุมพีนี วิสดอม” พบว่า ผู้อาศัยมีความต้องการที่ตอบรับกับกระแสด้านเทคโนโลยี โดยยังมุ่งเน้นในการใช้เทคโนโลยีขั้นพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวก เช่น IOT ซึ่งเป็นที่ต้องการใช้งานมากขึ้น 


และด้านความปลอดภัย เช่น การใช้รหัสผ่านแทนกุญแจ ซึ่งสามารถใช้ได้ตั้งแต่ทางเข้าอาคารไปจนถึงห้องชุด รวมถึงสนใจเทคโนโลยีที่ช่วยดูแลควบคุมงานระบบอาคารเพื่อลดการจัดจ้างบุคคลากร และควบคุมการใช้พลังงานที่ช่วยประหยัดค่าส่วนกลางมากขึ้น 


นอกจากนนี้การเสริมการบริการที่สามารถใช้ผ่าน Platform Online ได้  เช่น บริการพื้นฐานที่มีค่าใช้จ่าย/ไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน เช่น การจ่ายบิล  ตรวจเช็คพัสดุ  จองห้องส่วนกลาง 


โดยการการให้บริการที่กลุ่มตัวอย่างคิดว่าเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขแบบเร่งด่วน คือ การพูดคุยโต้ตอบทางโทรศัพท์ / Line OA  เช่น การแจ้งซ่อม  การสอบถามปัญหาต่างๆ  ส่วนการรับข่าวสารแจ้งเตือนต่างๆ ลูกค้าสามารถเลือกได้จากการรับการแจ้งเตือนผ่านข้อความอัตโนมัติ และตรวจเช็คปัญหาด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X