ทันหุ้น - GLOBAL มองไตรมาส 2/2564 ยอดขายเติบโตดีกว่าปีก่อนแม้โควิดระบาด ชี้ราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหนุนมาร์จิ้นพุ่ง ด้านยอดขายออนไลน์ปีนี้ขยายคตัวต่อ วางเป้า SSSG เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15%จากปีก่อน อัดงบ 2 พันล้านบาทลงทุนเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 3 แห่ง อวดกระแสเงินสดในมือ 1.9 พันล้าน เพียงพอรองรับการดำเนินธุรกิจ

นายยุทธนา สุริยวนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสินค้านำเข้า บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL เปิดเผยว่า ประเมินผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564มีทิศทางการเติบโตที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน และดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 8,828.35 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 965.77 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการกลับมาระบาดของไวรัสโควิด-19 ระรอกใหม่ในช่วงเดือนเมษายน แต่ด้วยไม่มีการล็อกดาวน์ในประเทศทำให้บริษัทปัจจุบันยังสามารถเปิดให้บริการได้ครบทั้ง 73 สาขา (รวมสาขาเปิดใหม่ 2แห่ง) เทียบกับปีก่อนที่มีการปิดให้บริการไปกว่า 40 สาขา

ราคาเหล็กพุ่ง

ประกอบกับปัจจัยบวกจากราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2564ราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น 20-30%และคาดว่าราคาเหล็กยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกราว 5-10% ในไตรมาส 2/2564 นี้อีกด้วย ทำให้บริษัทคาดว่าจะมีมาร์จิ้นสูงขึ้นจากการขายสินค้ากลุ่มดังกล่าว ซึ่งหากเทียบกับสถานการณ์ทั่วไปมาร์จิ้นสินค้ากลุ่มเหล็กจะอยู่ที่เฉลี่ยราว 10% แต่ในไตรมาส 1/2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่า 20%

ทั้งนี้ สินค้ากลุ่มเหล็กคิดเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยประมาณ 15% ของยอดขายรวม แต่ในไตรมาสแรกปีนี้สัดส่วนสินค้ากลุ่มเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของยอดขายรวม เป็นไปตามการเติบโตของงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีปัจจุบันบริษัทมีสินค้ากลุ่มเหล็กคงคลัง (Stock) รองรับความต้องการของลูกค้าไว้ล่วงหน้าแล้ว 3 เดือน ซึ่งหากว่าราคาเหล็กยังขยับตัวเพิ่มขึ้นก็มองว่าจะส่งผลบวกต่อมาร์จิ้นที่สูงขึ้นตาม

โดยในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG )ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 10-15% จากปีก่อน ขณะที่ช่องทางการขายออนไลน์มองว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยแผนกลยุทธ์ในช่องทางการขายดังกล่าวจะมุ่งเน้นในการจำหน่ายสินค้าของตกแต่งภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายทั้งให้คูปองส่วนลด และบริการฟรีจัดส่ง อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทคาดว่ายอดขายช่องทางออนไลน์จะเพิ่มขึ้น 1-2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าจะยังคงสัดส่วนยอดขายไว้ที่ประมาณ 1% ของยอดขายรวม

นอกจากนี้ ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีความผันผวนทำให้บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการดูแลบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและระดับอัตรากำไรสุทธิในปี 2564ให้ยืนอยู่เหนือระดับ 24.17% และ 7.22%ตามลำดับ จากปีก่อนได้ โดยในไตรมาส 1/2564 อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ระดับ 25.75% และ 11.01% ตามลำดับ คาดการณ์ว่าในไตรมาส 2/2564 อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 25% ได้ ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิอาจลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน

อัดงบ2พันล้านบาท

ส่วนเงินลงทุนที่ใช้ในปีนี้นั้น บริษัทวางไว้ที่ราว 2,000 ล้านบาท รองรับการปรับปรุงรูปแบบของสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ โดยแผนการขยายสาขาใหม่ในปีนี้บริษัทปรับลดการเปิดสาขาใหม่ จากเดิมวางไว้ 7-8 สาขา เป็น 5 สาขา โดยในช่วงไตรมาสแรกปีนี้เปิดไปแล้ว 2 สาขา ที่จังหวัดมหาสารคามและปราจีนบุรี ซึ่งในไตรมาสที่เหลือของปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี เชียงราย และเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น ส่งผลให้ ณ สิ้นปีนี้จะมีสาขาเปิดให้บริการทั้งสิ้น 76 สาขา

เบื้องต้นบริษัทวางเป้าหมายรายได้ของสาขาใหม่นปีนี้ไม่น้อยกว่า 400ล้านบาทต่อสาขา ทั้งนี้บริษัทวางแผนจะเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่องปีละ 7-8 สาขา ทำให้ปี 2565-66 จะเพิ่มเป็น 83 สาขา และ 91 สาขา ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ณ สิ้นไตรมาส 1/2564บริษัทมีกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,960 ล้านบาท ยังคงเพียงพอรองรับการดำเนินธุรกิจอยู่

ขณะที่ภาพรวมสาขาในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ปัจจุบันมี 1สาขา ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และยังเปิดให้บริการได้และทำกำไรได้อยู่, สปป. ลาว ปัจจุบันมี 6สาขา ผ่านการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ตอนนี้ยังมีการเติบโตที่ดีเช่นเดียวกัน ในขณะที่ประเทศเมียนมา ปัจจุบันมี 8 สาขา ต้องยอมรับว่ายอดขายปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน เนื่องด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มั่นคง