ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเริ่มต้นไตรมาส 2/2564 ด้วยการที่ดัชนีสามารถไต่ขึ้นไปแตะระดับ 1,600 จุดและเกิดการอ่อนตัวลงมา เนื่องจากเกิดโควิดคลัสเตอร์ใหม่ แต่ยังคงมีแรงซื้อในหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ ที่มีความสามารถฝ่ากระแสเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบริษัทฯที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และมีปัจจัยสนับสนุนอย่างชัดเจน

บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคุณสมบัติที่จะมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานในปี 2563 มีรายได้รวม 17,579.26 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,608.66 ล้านบาท รวมถึงความสามารถของอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 9.15% ซึ่งเป็นผลงานที่ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นน่าจะสะท้อนความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ในปี 2564 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ราว 15-20% จากปีก่อน และคาดว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยมาจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ล มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรม และเมื่อโรงงานเวียดนามเดินเครื่องจักรได้เต็มปี ก็จะช่วยสนับสนุนให้ STARK บรรลุเป้าหมายได้ ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ลรวม 2.2 แสนตันต่อปี อีกทั้งมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 8,400 ล้านบาท และบริษัทฯมีความพร้อมที่จะยื่นเข้าประมูลงานโครงการใหม่อีกจำนวนมาก

นอกจากนี้ STARK ยังมีเป้าหมายที่จะชัดเจน จะเร่งพัฒนา เพื่อให้มุ่งไปสู่การเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าในระดับ top 10ของโลก จึงทำให้นักลงทุนสถาบันทั้งในไทย และต่างประเทศ ให้ความสนใจ พร้อมใจกันเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นอย่างชัดเจน

หากพิจารณาจากรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดของ STARK จากการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด จะพบว่า มีนักลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศชื่อดังได้พร้อมใจเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นอย่างชัดเจน เช่น บล.เครดิตสวิสถือหุ้น 108 ล้านหุ้น, ธนาคารเอชเอสบีซีถือหุ้น 109 ล้านหุ้น, แบงค์ ออฟ สิงคโปร์ ถือหุ้น 108 ล้านหุ้น, ธนาคารเซาธ์ อีส เอเซีย ถือหุ้น 66 ล้านหุ้น, ยูบีเอสถือหุ้น 48 ล้านหุ้น เป็นต้น

ด้านสถาบันในประเทศ ประกอบด้วย บลจ. บัวหลวง ถือหุ้น 157 ล้านหุ้น , บลจ.ไทยพาณิชย์ ถือหุ้น 95 ล้านหุ้น, บลจ. เกียรตินาคินภัทร ถือหุ้น 101 ล้านหุ้น,บลจ. กรุงไทย ถือหุ้น 59 ล้านหุ้น, บล. เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) ถือหุ้น 13 ล้านหุ้น, บลจ. เอ็มเอฟซี ถือหุ้น 11 ล้านหุ้น, บลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) ถือหุ้น 10 ล้านหุ้น, บลจ. กสิกรไทยถือหุ้น 9 ล้านหุ้น และนอกจากนี้ กลุ่มบริษัท บีทีเอส ได้เข้าถือหุ้นด้วย 35 ล้านหุ้น

นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนรายบุคคล ให้ความสนใจถือหุ้นเพิ่มเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น “นเรศ งามอภิชน” เข้ามาถือหุ้น จำนวน 100 ล้านหุ้น และ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล กับ วารุณี ชลคดีดำรงกุล 40 ล้านหุ้น

สำหรับการเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 10% จากเดิมอยู่ที่ 5%สะท้อนได้ว่ากลุ่มสถาบันมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของ STARK ที่มีความแข็งแกร่ง และในอนาคตสามารถผลักดันการเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง

อีกทั้ง การที่มีกลุ่มสถาบันเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม ส่งผลให้สภาพคล่องของจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ (ฟรีโฟลท) ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 29%จากเดิมอยู่ที่ระดับ 21% ดังนั้น จึงมีโอกาสสนับสนุนให้หุ้น STARK มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่จะพิจารณานำหุ้นเข้าไปคำนวณในดัชนี SET 50 และ SET 100 ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน ประเมินว่า หุ้น STARK อาจจะได้รับคัดเลือกเข้าไปคำนวณในดัชนีดังกล่าว จึงได้เข้ามาเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในช่วงที่ผ่านมา

ด้านผู้กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 อย่าง "วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ" ยังคงถือหุ้นมากสุด จำนวน 5,796.75 ล้านหุ้น คิดเป็น 48.69% ซึ่งทางกลุ่มของนายวนรัชต์  แจ้งว่าจะรักษาการสัดส่วนการเป็นผู้ถือหุ้นรายหลักไว้ให้มากที่สุด เพราะมั่นใจในศักยภาพการดำเนินธุรกิจและแนวโน้มอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและเคเบิ้ลที่มีโอกาสเติบโตสูง สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1