ทันหุ้น – ผู้บริหาร STGT ระบุเพลิงไหม้กระทบเล็กน้อยเพียง 0.6% หรือ 200 ล้านชิ้นของกำลังการผลิตปีนี้ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 35,800ล้านชิ้น จากปีก่อน 28,000 ล้านชิ้น ชี้โรงงานใหม่มีประกันครอบคลุม จะกลับมาผลิต 2-3 เดือนข้างหน้า มีลุ้นราคาถุงมือยางวิ่งอีกซัพพลายขาด ขณะที่ความต้องการถุงมือยางยังเกินกว่ากำลังผลิต 2-3 ปีนี้ ด้านโบรกเกอร์เมินเพลิงไหม้เล็งปรับเป้าเกิน 53 บาท

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เปิดเผยกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานของบริษัท ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี (โรงงาน SR2) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สามารถควบคุมเพลิงได้ในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบกับกำลังการผลิตของโรงงานเดิม เนื่องจากเป็น Site งานส่วนต่อขยายใหม่ที่เพิ่งเริ่มทดสอบเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งนี้คาดว่าจะกระทบต่อเพียงเล็กน้อยคิดเป็น 0.6%ของกำลังการผลิตทั้งปี หรือประมาณ 200 ล้านชิ้น จากประมาณกำลังการผลิตติดตั้งที่ 35,800 ล้านชิ้นในปีนี้

@ความต้องการยังล้น

ด้านนางสาวธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์ กรรมการและผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน STGT เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินตัวเลขความเสียหายของโรงงาน เชื่อว่าจะคิดเป็นความเสียหายราว 50 ล้านบาทบวกลบ และมีได้รับความคุ้มครองความเสียหายจากประกันอัคคีภัยครอบคลุม แต่ไม่มีประกันชดเชยรายได้ เนื่องจากโรงงานดังกล่าวเป็นการขยายไลน์การผลิตเพิ่มขึ้นมามี 7 เครื่องจักร  ซึ่งมีการทยอยติดตั้ง ดังนั้นในส่วนของเครื่องจักรไลน์ใหม่ที่จะติดตั้งเข้ามายังดำเนินการได้ คาดว่าจะสามารถกลับมาเดินเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าได้ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า โดยโรงงานนี้มีกำลังการผลิต 2.2 พันล้านชิ้นต่อปี ดังนั้นการหายไป 200 ล้านชิ้นถือว่าน้อย และน้อยลงไปอีกเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตรวม 35,800 ล้านชิ้น และยังมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมากำลังผลิต 2.8 หมื่นล้านชิ้น

@ราคาขายมีโอกาสวิ่งอีก

อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการที่บริษัทเกิดไฟไหม้ และการที่โรงงานมาเลเซียหยุดดำเนินการจะส่งผลให้ราคาถุงมือยางมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้อีก โดยเท่าที่เห็นตัวเลขขณะนี้ถึงไตรมาส 2/2564 ราคายังคงมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

นางสาวธนวรรณ เชื่อว่า ความต้องการถุงมือยางจะมีอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการถุงมือยางทุกแห่งทั่วโลกอยู่ที่ 3.7 แสนล้านชิ้นต่อปี ขณะที่ความต้องการใช้ถุงมือยาง จากการประเมินของฝ่ายวิจัยหลายแห่ง คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 แสนล้านชิ้นต่อปี ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ราว 2 แสนล้านชิ้น ดังนั้นจึงคาดว่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ถึงจะมีกำลังการผลิตถึงจะสอดคล้องกับความต้องการที่มีอยู่

“ราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก เกิดจากมีออเดอร์ฉุกเฉินเข้ามา และให้ราคาสูงขึ้น โดยเชื่อว่าแม้ว่าโควิดหายแล้ว ดีมานด์ก็ยังจะยังอยู่ แต่ออเดอรืฉุกเฉินจะลดลง และด้วยดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นมามากนั้นกว่าซัพพลายจะผลิตทันก็ช่วง 2-3 ปี ดังนั้นจะไม่ทำให้ราคาลงไปแรง แต่จะค่อยๆ ลดลงในแบบมีสเถียรภาพ”

@ ไตรมาส 1 ผลงานนิวไฮอีก

นางสาวธนวรรณ ประเมินว่า ผลประกอบการของ STGT ในไตรมาส 1/2564 จะออกมาดีต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้ถุงมือยางที่มีเข้ามามาก โดยที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้มีการปรับราคาถุงมือยางมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 แต่ราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจากการเสนอซื้อของลูกค้าที่ต้องการถุงมือยางอย่างมาก ประเมินว่าราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 4/2564 จะปรับตัวขึ้นประมาณ 20% จากไตรมาส 4/2563 และบริษัทยังคงเดินหน้าในการจ่ายปันผลทุกไตรมาส ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ และเตรียมเข้าเทรดสิงคโปร์ในเดือนเมษายน

@ จ่อปรับประมาณการขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง STGT ว่า คาดเหตุการณ์เพลิงไหม้จะส่งผลกระทบต่ำกว่า 1% ของกำลังการผลิตรวมทั้งปี และบริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนโรงงานอื่นเพื่อให้ยังรักษาเป้าหมายการผลิตที่ 32,000 ล้านชิ้นต่อปีได้ และคาดว่า STGT จะบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากความเสียหายในไตรมาส 1/2564 ที่ราว 50-100 ล้านบาท แทบไม่มีนัยยะเมื่อเทียบกับกำไรที่คาดว่าจะสูงถึง 9,500-10,000 ล้านบาทในไตรมาส 1/2564แต่หลังจากนั้นหากได้รับเงินแคลมประกันจะรับรู้กลับรายการเป็นกำไรพิเศษ

โดยคาดว่า STGT ในปี 2564 จะมีกำไรอยู่ที่ 25,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% และมีโอกาสปรับประมาณการขึ้น และมีเงินปันผลสูงช่วยจำกัด Downside risk ซึ่งยังคงชอบ STGT แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 53 บาทต่อหุ้น