ทันหุ้น- เตรียมพร้อม STARK-W1 เข้าเทรด 15 ม.ค.นี้ ผู้บริหาร “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” เปิดเคล็ดวิธีลงทุนวอร์แรนต์ ชี้หลักการตีมูลค่าอนาคตก่อนทอนมาเป็นปัจจุบัน พร้อมดูหุ้นแม่ประกอบ ระบุบริษัทอยู่ในเมกะเทรนด์คนให้ค่าสูง อนาคตเติบโตต่อเนื่อง ทั้งการเติบโตใน เวียดนาม ความยั่งยืนในไทย และการส่งออกสหรัฐ วางเป้าปีนี้พุ่ง 20-30%

นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมนำใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นบริษัท หรือ วอแรนต์ (STRAK-W1) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยวันแรก 15 มกราคม 2564 นี้ โดยยอมรับว่ากระบวนการดำเนินงานต่างๆ ในการนำ STRAK-W1 เป็นไปดวยความรวดเร็ว นับตั้งแต่มีมติผู้ถือหุ้น 17 ธันวาคม และ ขึ้นเครื่องหมายไม่ได้รับสิทธิวอแรนต์ (XW) 30 ธันวาคม เนื่องจากเป็นสิ่งที่บริษัทยึดถืออยู่แล้วว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเร็วกินปลาช้า ทำอะไรต้องรวดเร็ว

นายชนินทร์ ยอมรับว่า การที่บริษัทแจกวอแรนท์ 3:1 ซึ่งถ้าคำนวณธรรมดาก็จะพบว่ามีไดลูชั่น 25% แต่ถ้าดูเรตจริงผ่านการคำนวณเครื่องมือทางการเงินจริงแล้ว หรือที่เรียกว่า Effective rate จะพบว่ามีไดลูทชั่นที่ 18% เนื่องจากการคำนวณจะต้องใช้ต้นทุนของเงิน และ ระยะเวลาของเงินเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตามจากการที่ราคาหุ้น STRAK ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเร็วทำให้ไดลูชั่นหายไปหมดแล้ว

@เคล็ดลงทุนSTRAK-W1

ทั้งนี้จากกรณีที่หลักเกณฑ์ STRAK-W1 กำหนดให้ต้องถือ ไม่สามารถแปลงสิทธิในช่วง 8 ไตรมาสแรกนั้น โดยจะเปิดให้แปลงสิทธิได้ในไตรมาสที่ 9 เป็นต้นไทย ที่ราคาแปลงหุ้นแม่ 5 บาท จำนวน 4 พันล้านหุ้น ซึ่งในฐานะผู้บริหารเชื่อมั่นว่า 4 พันล้านหุ้นจะแปลงสภาพ ทำให้บริษัทได้รับเงินเข้ามา 2 หมื่นล้านบาท

ดังนั้นหลักการแนวคิดการลงทุนวอแรนท์ จากราคาแปลงสิทธิที่ 5 บาทนั้น ผู้ที่ซื้อ STARK-W1 ก็ต้องไปดูคำนวณในอนาคตว่า อีก 2 ปีข้างหน้าราคาของ STRAK จะเป็นเท่าไหร่ โดยประเมินจากกำไรสุทธิต่อหุ้น คูณด้วย พีอี โดยในส่วนของ STARK ถ้านักลงทุนเชื่อว่า กำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้น และ พีอีซึ่งในอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ จะได้ค่าสูง ก็จะเห็นตัวเลขเหมาะสม และนำมาเปรียบเทียบกับราคาแปลง 5 บาท ว่าในอนาคตจะมีมูลค่าสูงกว่าแค่ไหน เคลื่อนไหวของราคา STARK-W1 ก็จะเป็นไปตามนั้น โดยในส่วนของราคาหุ้นแม่ (STARK) ก็จะเป็นฐานที่จะมองสำหรับอนาคตด้วย

" STARK-W1 ก็เปรียบเหมือนใบจองรถนั้นแหละ สมมุติจะต้องออกรถในไตรมาสที่ 9 คนที่ต้องการใบจองรถก็เข้ามาซื้อ ถ้ารถมันสวยมีความต้องการมากก็แพงขึ้น เช่นเดียวกันวันนี้แม่ STARK ใกล้เคียง 5 บาท ก็ต้องไปดูว่ามันจะโตไหม มันจะเป็น น 6-7-8-9-12 บาท พวกนี้ก็จะเป็นแก๊ปของวอแรนท์ เมื่อเทียบกับราคาแปลงที่ 5 บาท ไม่เพียงเท่านั้นสิ่งที่ต้องดูเพิ่มเติมคือได้เงินเข้ามาแล้วโครงสร้างจะเป็นอย่างไร"

@ธุรกิจเมะเทรนด์มีค่าสูง

นายชนินทร์ ยืนยันว่า ธุรกิจของบริษัทอยู่ในเมกะเทรนด์ ทั้งในเรื่องของการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งการส่งออกไปยังตลาดขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันตอนนี้ธุริกจสายไฟทั้งในไทย และเวียดนามก็มีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทที่จับเมกะเทรนด์ จะมีพีอีที่สูงกว่าปกติ

"กองทุนที่เข้ามาถือ STARK มองว่าเรามี 2 ลักษณะ ซึ่งถ้ากองทุนไทยก็จะชอบความยั่งยืนของไทย แต่กองทุนต่างประเทศก็จะช่วยการเติบโตของเวียดนาม ซึ่ง เวียดนาม มีเงินลงทุนต่างประทเส 9 แสนล้านบาท เทียบกับไทย 1 แสนล้านบาท ดังนั้นจะต้องใช้พลังงานมหาศาล ซึ่งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปลงทุนโรงไฟฟ้าแล้ว ก็ต้องมีการส่งไฟฟ้า ในส่วนสตาร์คก็เปรียบเสมือนคนส่งไฟฟ้า ซึ่งมีจำนวนมากนั้นเอง"

ในส่วนของเม็ดเงินที่จะได้เข้ามาในอนาคต 2 หมื่นล้าน ก็จะชิม ช็อป ใช้ โดยชิมก็คือการเข้าไปดูธุรกิจจะซื้อ ก็เข้าไปเจรจาโดยตลอด จากนั้นก็จะเข้าซื้อโหมดช็อป เข้าซื้อกิจการ และก็ถึงเวลาใช้เงิน ซึ่งก็จะตรงกับในช่วงที่จะมีการแปลงวอแรนท์พอดี อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทก็ยังมีการพิจารณากิจการอยู่แต่ไม่ต้องการให้หุ้นไดลูท ซึ่งถ้ามีดีล ก็จะใช้วิธีการทางการเงินและรักษาหนี้สินต่อทุนไม่ให้สูงจนเกินไป

"คงมีข่าวอะไรเรื่อยๆ ของช็อปมีทั้งในและนอกประเทศ ต้องดูว่ากองทุนโอเครใหม่ ถ้าทำอะไร ต้องมีหนี้ขึ้นมา แต่บริหารจัดการได้"

สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโต 20-30% จากทั้งการที่ตลาดเวียดนามจะปรับจากองค์กร (B2B) มาสู่กลุ่มผู้บริโภค (B2C) ในด้านของภาคราชการทั้งไทยและเวียดนามก็จะมีการกระต้นโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้ามาก ส่วนอเมริกาก็จะขยายมากขึ้น

โดยที่ผ่านมาสามารถทำเป้าหมายได้เร็วกว่าเป้าเดิมไว้ 6 เดือน เนื่องจากเมกกะเทรนด์ถูกร่นให้มาเร็วขึ้น ทำให้ผลิตไม่ทัน โดยปัจจุบันมีมูลค่างานในมือประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังจะได้ผลประโยชน์จากการที่ราคาทองแดงปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทส่งให้บริษัทมีแก๊ปในการขายราคาเพิ่มขึ้นด้วย