ทันหุ้น- เจาะเนื้อแท้ TTA ผู้บริหาร “เฉลิมชัย มหากิจศิริ” เผยดีมานด์เรือเทกองสัญญาณดี จากความต้องการสินค้าเทกองมากขึ้น ขานรับจีนนำเข้าแร่เหล็ก -ส่งออกถั่วเหลืองทุ่มงบลงทุนอีก 1.5-2 พันล้านบาท ซื้อเรือเพิ่มอีก 2-3 ลำ โบรกมองราคาหุ้นยังไม่สะท้อนการเทิร์นอะราวด์ คาดปีนี้พลิกกำไร ราว 600-800 ล้านบาท พื้นฐาน 9 บาท

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน)หรือ TTA เปิดเผยว่า อัตราค่าระวางเรือจะยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง แม้อาจจะจะปรับตัวลดลงบ้างในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน หลังจากนั้นจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง

โดยคาดว่าอัตราค่าระวางเรือปีนี้จะสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของปี 2563 ที่ราคาเฉลี่ยของเรือซุปราแมกซ์ อยู่ที่ 8,189 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ทั้งนี้มีการคาดการณ์กันว่า ปี 2564 ปริมาณการค้าสินค้าแห้งเทกองจะฟื้นตัวและเติบโตได้ถึง 4.4% ในหน่วยตัน-ไมล์ อีกทั้งแนวโน้มของตลาดที่เป็นเชิงบวก ยังได้รับแรงหนุนจากการนำเข้าแร่เหล็กของจีนและการส่งออกถั่วเหลืองจากสหรัฐฯที่ปรับตัวดีขึ้น

@เติบโตทุกธุรกิจ

ส่วนแนวโน้มแต่ละธุรกิจในปีนี้ทั้งสามกลุ่มธุรกิจหลักจะเติบโตดีขึ้นจากปีก่อน แม้ว่ายังคงมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากฟื้นตัวมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ตามการเติบโตของปริมาณการค้าสินค้าแห้งเทกอง

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะซื้อเรือเพิ่มอีก 2-3 ลำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งรายได้และผลกำไร คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในปีนี้ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ (order book) ที่แข็งแกร่งของโครงการงานวิศวกรรมใต้ทะเล มูลค่า 179 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณวันที่ 30 กันยายน 2563 ประกอบกับมีความเสี่ยงทางธุรกิจลดลงหลังจากขายธุรกิจขุดเจาะไปแล้วในไตรมาสที่ 3/2563 และรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากธุรกิจติดตั้งสายเคเบิลใต้ทะเลด้วย

ขณะที่กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรประเมินว่าจะยังคงสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ยังคงเดินหน้าในการขยายสาขาต่อไปตามแผนโดยมีการเลือกสถานที่ตั้งสาขาอย่างรอบคอบ

@หุ้นยังเสี่ยงต่ำ

ด้าน บริษัท หลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินราคาหุ้นของ TTA ยังถูกเกินไป เมื่อเทียบกับผลประกอบการทุกธุรกิจที่กำลังเข้าสู่โหมด Turnaround และเมื่อเทียบกับ Valuation ในอดีตหรือคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยจากการประเมินเบื้องต้น คาดว่ากำไรปกติ ไตรมาส 4/2563 จะโตได้ทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและจากช่วงเดียวกันปีก่อน

แม้ปกติไตรมาส 4 จะเป็นโลว์ซีซั่น  เพราะมีวันหยุดมากและมีการเร่งขนส่งไปในช่วงไตรมาส 3 เพื่อรองรับการผลิตในไตรมาส 4 ที่เป็นไฮซีซั่นของการจับจ่ายใช้สอย แต่เพราะโครงสร้างตลาดรอบนี้อยู่ในภาวะขาดแคลนเรือขนส่ง ทั้งเรือคอนเทนเนอร์และเรือเทกอง ทำให้อัตราการให้บริการเรือทั้ง 22 ลำที่เป็นขนาด Supramax ของ TTA ยังอยู่ในระดับ 100%

ขณะที่อัตราค่าเช่า (TC Rate) เฉลี่ยอยู่ที่ 12,000ดอลลาร์ต่อลำต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ย ไตรมาส 3/2563 ที่ 11,444 ดอลลาร์ต่อลำต่อวัน อยู่ราว 5% และสูงกว่าต้นทุนรวมที่ราว 7,500-7,800 ดอลลาร์ต่อลำต่อวัน อีกทั้ง จะไม่มีผลขาดทุนจากบริษัทร่วมมาถ่วงราว 40-60 ล้านบาทต่อไตรมาสเหมือน ไตรมาส 3/2563 เพราะเรือให้บริการนอกชายฝั่งสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้เต็ม 100% พร้อมกัน โดยมีงานในมือที่รอส่งมอบ 179 ล้านดอลลาร์หรือราว 5.4 พันล้านบาท

ส่วนธุรกิจปุ๋ยและธุรกิจอาหารคาดว่าจะมีกำไรใกล้เคียง ไตรมาส 3/2563 จึงคาดว่าผลการดำเนินงานของ TTA ไตรมาส 4/2563 จะมีกำไรปกติราว 300+/- ล้านบาท ดีกว่า ไตรมาส 3/2563 ที่ทำได้เพียง 51 ล้านบาท และดีกว่าไตรมาส4/2562 ที่ทำได้ 271 ล้านบาท คาดโมเมนตัมเชิงบวกของอุตสาหกรรมเรือเทกองยังต่อเนื่องถึงครึ่งปีแรกปี 2564

และคาดว่าจะพลิกมามีกำไรปกติในปี 2564 ราว 600-800 ล้านบาท จากที่คาดขาดทุนปกติปีนี้ 365 ล้านบาท PER2564 ยังต่ำเพียง 12-15 เท่า ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเรือเทกองช่วงที่มีกำไรจะซื้อขายกันที่ 20-25 เท่า ขณะที่ PBV ต่ำเพียง 0.53 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 1.4 เท่า และฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง Net D/E Ratio เพียง 0.05 เท่า ประเมินราคาเหมาะสมที่ 9.00 บาท แนะนำ ซื้อ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน โดยมีแนวรับที่ 4.90-5.00 บาท ตัดขาดทุนเมื่อต่ำกว่า 4.50 บาท ดังนั้นมองว่าที่ระดับราคาหุ้นปัจจุบันจึงยังไม่สะท้อนการ Turnaround ของทุกธุรกิจเท่าที่ควร