ทันหุ้น- NRF ประกาศเร่งโรงงานโปรตีนจากพืชในไทยและจีนเร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม 1 ปี หลังความต้องการทะยานขึ้นเร็ว เปิดแผนลงทุนโลจิกติกส์ความเย็นรวมพันธมิตร B รองรับ ส่งโปรตีนจากพืชขาไปและขากลับต้องมีสินค้าอื่นมาเฉลี่ยต้นทุน วางเป้าจึงสินค้าเกษตร ประมง ชิลฟู๊ด เข้ามา พร้อมใช้คลังสินค้า ท่าเรือ วางเป้าปีหน้าโตแรง 30-40%

ส่องเกม บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์จำกัด (มหาชน) หรือ NRF หลังร่วมมือกับ บริษัท บี จีสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ B จัดตั้งบริษัทร่วมทุน โดยถือหุ้น 60% และ บี จิสติกส์ ถือหุ้น 40% เพื่อดำเนินธุรกิจขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold chain logistics) สำหรับขนส่งสินค้าภาคอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร, ศูนย์กระจายสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold chain warehouses), การนำสินค้าออกจากคลังสินค้า (Cold storage) ตลอดจนทำ Platform (Online/AI)

นายแดน ปฐมวาณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนธุรกิจโลจิกติกส์เพื่อเตรียมพร้อม "ธุรกิจโปรตีนจากพืช" หรือ "Plant-base" ที่กำลังจะเร่งดำเนินการ ก่อสร้างโรงงานทั้งในไทยและประเทศจีน และผลิตออกมาให้เร็วกว่าเดิม 1 ปี จากเดิมที่ตั้งไว้ปี 2565 ก็จะเร่งสร้างและผลิตในปี 2564 ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและรวดเร็วขณะนี้ โดยการก่อสร้างจะใช้เวลา 8-10 เดือน

ซึ่งอุปสรรคและปัญหาของ "ธุรกิจโปรตีนจากพืช" ตลอดจนอุสาหกรรมอาหาร และเกษตร คือ เรื่องการขนส่งและต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยที่สูงถึง 15% ของเศรษฐกิจ ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาที่มีต้นทุนราว 8-9% หรือประเมินจากจีดีพีโลกจะพบว่าต้นทุนโลจิสติกส์จะอยู่ที่ 7% ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเรื่องการขนส่งโดยเฉพาะการขนส่ง cold chain logisticsเพื่อให้สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ตามที่ต้องการและเสถียร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ดังนั้นจึงต้องมีพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ โลจิกติกส์ขนส่ง มีรถที่พร้อมสนับสนุน ซึ่ง B เองก็ตอบโจทย์นี้ และมีพื้นที่ในแหลมฉบัง ท่าเรือ และรถขนส่ง ซึ่งจะสามารถใช้ได้

@ดึงเกษตร-ประมงใช้บริการ

โดยการลงทุนดังกล่าวจะช่วยในเรื่องของต้นทุนขนส่งได้ค่อนข้างมาก จากแนวคิดที่ รถขนส่งโฟรเซ่น จะต้องมีทั้งขาไป และขากลับ เพื่อที่จะได้ไม่ตีรถเปล่ากลับมา ซึ่งมีมองนั้นคือสามารถนำสินค้าเกษตร อาหารทะเล หรือ แม้แต่อาหารชิลฟู๊ด ต่างๆ ก็สามารถที่จะใช้บริการได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนลดลงมหาศาล นอกจากนี้ยังจะส่งผลดีในการกระจายสินค้าทั่วประเทศ

"บางทีขนส่งสินค้าราคา 400-500 บาท กรุงเทพไปเชียงใหม่ แต่ต้นทุนรถโฟรเซ่นบางทีเท่ากับราคาสินค้าเลย ดังนั้นการลดต้นทุนได้ต้องมีขากลับด้วย โดยจะตั้งฮับในการขนส่งไปส่ง แพลนเบส ขากลับก็นำสินค้าอื่นกลับมา จะเป็นทางเลือกให้กับ สินค้าเกษตร ผลไม้ ชาวประมง อาหารชิลฟู๊ด จากเดิมที่จะส่ง 6 ล้อธรรมดา ก็มาใช้ห้องเย็นได้ความสดไม่เน่าเสีย ต้นทุนในการขนส่งจะถูกลงอย่างอย่างมหาศาล"

นายแดน ยอมรับว่า กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจขนส่งนั้นของบริษัท จะเน้นในด้านต้นทุนให้ลดลง และการแข่งขันด้านราคา โดยจะอาศัยวอลุ่มเข้าช่วย เนื่องจากมองว่า การขนส่งไม่ได้จุดที่แวลูแอดเข้าไป แต่เน้นเรื่องของกต้นทุนมากกว่า ซึ่งในส่วนมาร์จิ้นเชื่อว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับบริษัทในตลาด

@ ปีหน้าโตแรง30-40%

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี2564 ยังก้าวกระโดดต่อเนื่อง โดยประเมินรายได้จะเติบโต 30-40% ต่อเนื่องจากปีนี้ โดยล่าสุดบริษัทได้ร่วมจัดตั้งใหม่เพื่อลงทุนในธุรกิจขายสินค้า Plant-based โดยตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ ภายในไตรมาส 1/64 มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้น 51% ร่วมกับนายเฮสเตอร์ อาร์เธอร์ ชูว์ ไฮ ชีน ถือหุ้น 49% เพื่อดำเนินธุรกิจขายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม Plant-based ให้ผู้บริโภคผ่านช่องทางการค้าปลีก เช่น ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น อีกทั้งยังขายสินค้าให้กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร กลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และส่งออก ภายใต้แบรนด์ของบริษัทร่วมทุน

นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนในกองทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพเกี่ยวกับโปรตีนทางเลือก Unovis NCAP Fund II ซึ่งคาดว่าจะเข้าลงทุนในช่วงไตรมาส 1/64 ถึงปี 66 ทั้งนี้กองทุนของ Unovis เป็นกองทุนชั้นนำของโลกทางด้านโปรตีนทางเลือก และมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการผลิตที่ทันสมัย ในทางกลับกันบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในเครือของกองทุน ผ่านความร่วมมือและองค์ความรู้ อีกทั้ง กองทุนยังมีทีมที่ปรึกษาที่มากประสบการณ์ และมีเครือข่ายธุรกิจที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรม ซึ่ง Unovis ได้มีกองทุน Unovis NCAP I ที่เป็นกองทุนแรกที่ได้เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับโปรตีนทางเลือก เช่น Beyond Meat (เนื้อจากโปรตีนพืช) Memphis Meats (เนื้อสังเคราะห์) Miyoko’s Creamery (ชีสจากโปรตีนพืช) เป็นต้น