> Trendtalk > GPSC

18 กันยายน 2020 เวลา 06:10 น.

GPSC

ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวลดลงจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินมีมติคงอัตราดอกเบี้ย และส่งสัญญาณว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องจนไปถึงปี 2566 แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดไวรัสที่ยังอยู่ในระดับสูง เป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลง โดยมีแนวรับที่ 1250 จุด และมีแนวต้านที่ 1300 จุด


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ GPSC หรือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เแกนนำนวัตกรรมธุรกิจพลังงานไฟฟ้าของกลุ่มปตท. ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าและสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในประเทศ รวมถึงการแสวงหาโอกาสการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานไฟฟ้า

ไตรมาสที่ 2 ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ มีกำไรสุทธิ 1,895 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.67 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 1,081 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.72 บาท


ในขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 63 มีกำไรสุทธิ 3,475 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.23 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 2,023 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.35 บาท


GPSC ไตรมาส 2/63 มีกำไร 1,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาส 1/63 แม้รายได้จากการดำเนินงาน 18,138 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1% จากไตรมาสก่อน

กำไรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้น 278 ล้านบาท เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินปรับลดลง รวมถึงลูกค้าอุตสาหกรรมของศูนย์ผลิตสาธารณูปการระยองมีปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำมากขึ้น ถึงแม้ว่าลูกค้าอุตสาหกรรมของโรงไฟฟ้า SPP ของ บมจ.โกลว์พลังงาน (GLOW) มีความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำลดลงก็ตาม


ขณะที่กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 115 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล เพาเวอร์ จำกัด (GRP) เมื่อเดือน 26 มี.ค.63


ส่วนกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ลดลง 677 ล้านบาท จากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันมีรายได้ค่าความพร้อมจ่ายลดลง ตามโครงสร้างรายได้ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกำไรขั้นต้นโรงไฟฟ้าห้วยเหาะลดลง เป็นผลจากปริมาณน้ำน้อยกว่าปี 62 ขณะที่กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าศรีราชาเพิ่มขึ้นตามรายได้ค่าความพร้อมจ่ายส่วนที่อิงกับดอลลาร์จากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท


ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 ได้แก่ ราคาถ่านหินที่ปรับตัวลดลงและราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ต้นทุนขายลดลง และผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อเนื่องจากช่วงต้นปี


ทั้งนี้ บริษัทได้มีการสำรวจและติดตามแผนการดำเนินงานของลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และพบว่าลูกค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ยังคงมีความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่ลูกค้าอุตสาหกรรมกลุ่มธุรกิจยานยนต์มีความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำลดลง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้จากลูกค้ากลุ่มยานยนต์ คิดเป็นประมาณ 2% ของรายได้จากลูกค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด


ในไตรมาส 2/63 บริษัทยังมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท เนื่องจากบริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (BIC) และบริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG) มีรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มขึ้น เพราะในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนทั้ง 2 บริษัทได้มีการหยุดซ่อมบำรุง


บริษัทคาดว่าในปี 63 จะสามารถรับรู้มูลค่า Synergy จากการควบรวมกิจการกับ GLOW ประมาณ 400-500 ล้านบาท มาจากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าและโครงข่ายร่วมกัน การบริหารจัดการสัญญาซ่อมบำรุงระยะยาวให้เกิดประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน นอกจากนั้นยังเพิ่มประสิทธิภาพส่วนงานจัดซื้อจัดจ้าง โดยบริหารต้นทุนและลดต้นทุนสินค้าคงคลัง ตลอดจนการจัดซื้อร่วมกันให้เกิดส่วนลดเพิ่มขึ้น (Economy of scale) รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน การประกันภัย การบริหารเงินทุนหมุนเวียน และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารงานองค์กร


ทั้งนี้ ทางบริษัทได้มีการประเมินมูลค่า Synergy เบื้องต้นที่จะเกิดขึ้นในช่วงปี 62-67 โดยคาดว่าจะค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนสามารถรับรู้มูลค่าที่ประมาณ 1,600 ล้านบาทในปี 67


GPSC มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus อยู่ที่ 82.82 บาท โดยมีราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 95.00 บาท และมีราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 67.00 บาท

ราคาหุ้นปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่องตามกรอบแนวโน้มขาลงในระยะสั้นหลังจากฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 82.00 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 60.00 และมีแนวต้านสำคัญที่ 69.00 ถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 74.00


สนใจบทความย้อนหลัง และเรื่องราวที่น่าสนใจ สามารถหาดูได้ในเพจ Trendtalk

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X