> SET > MINT

11 กันยายน 2020 เวลา 08:15 น.

MINTได้ประโยชน์สูงสุด โรงแรมยุโรปฟื้นตัวแรง

ทันหุ้น –สู้โควิด – MINT รับอานิสงส์โรงแรมในยุโรปฟื้นตัวแรง เหตุสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในยุโรปสูงถึง 60% หนุนโมเดลภาครัฐเปิดรับต่างชาติเข้าไทย ดันเศรษฐกิจไปต่อ แถมไม่หวั่นโควิด-19 เฟส 2 ระบุศักยภาพด้านสาธาณสุขไทยแกร่งรับมือได้ ฟากโบรกประเมินผลงานปีหน้าพลิกเป็นกำไร หลังพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/2563 เคาะเป้าใหม่ 28 บาท


นายวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทมองธุรกิจได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา หลังหลายประเทศเริ่มคลายล็อกดาวน์ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมและอาหารฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาครัฐมีแนวทางจะเปิดให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยบางพื้นที่นั้นมองเป็นเรื่องที่ดี แม้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศยังรุนแรง แต่ส่วนตัวมองว่าสิ่งสำคัญที่มากกว่าโควิด-19 คือภาพรวมเศรษฐกิจของไทยที่มีผลต่อการใช้จ่ายของประชาชนในไทย


สำหรับประเด็นเกี่ยวกับโควิด-19 เฟสที่ 2 ในประเทศนั้น บริษัทยังมั่นใจในระบบสาธารณสุขของไทยที่แข็งแกร่ง จึงไม่ได้กังวลเรื่องแต่อย่างใด


*รร.ในยุโรปฟื้นตัวแรง


บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง MINT ว่า ข้อมูลล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมาพบว่า โรงแรมในยุโรปมีอัตราการเข้าพัก (Occ. rate) อยู่ที่ 40% ฟื้นตัวได้เร็วกว่าไทยที่ 25-30% ซึ่ง MINT จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการที่มีสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในยุโรปสูงถึง 60% ประกอบกับ NH เน้นนักท่องเที่ยว Domestic เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันสามารถเดินทางภายในกลุ่มประเทศในยุโรปได้แล้ว


ด้านธุรกิจอาหารมีการฟื้นตัวได้ดี จากการกลับมาเปิดร้านอาหารที่นั่งในร้าน (dine-in) แล้วเกือบ 100 โดย SSSG ในเดือนกรกฎาคม 2563 ที่จีนปรับตัวลดลงเหลือเพียง -5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก –30% ในเดือนมิถุนายน 2563 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนไทย –10%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คาดอัตราการเติบโตของรายได้ต่อสาขา (SSSG) จะฟื้นตัวได้ดีตั้งแต่ไตรมาส 3/2563 เป็นต้นไป และจะเห็นเป็นกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/2563


*ปีหน้าพลิกกำไร 1.8 พันล.


อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาทาง MINT ถือว่มประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท จากการออกหุ้นสามัญและการออก perpetual bond โดยคาดว่า Net D/E ในปี 2563 จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.30 เท่า และปี 2563 อยู่ที่ 1.45 เทjา ซึ่งต่ำกว่า Debt covenant ที่ 1.75เท่า และรองรับความเสี่ยงทางการเงินได้ในอนาคต และช่วยปลดล็อก overhang ให้กับราคาหุ้นได้


นอกจากนี้ คาดผลการดำเนินงานจะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิในปี 2564 ที่ 1.8 พันล้านบาท จากปี 2563 ที่คาดว่าจะขาดทุนสุทธิที่ 1.8 หมื่นล้านบาท จากการกลับมาเปิดน่านฟ้าในหลายประเทศ ส่วนปี 2563 มองผลการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/2563 และจะทยอยฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2563 เป็นต้นไป เพราะโรงแรมในยุโรปมีการผ่อนคลายให้เที่ยวภายในประเทศได้ ซึ่ง NH มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่เป็น Domestic ประมาณ 60-70% ส่วนธุรกิจอาหารเริ่มเห็นสัญญาณของ SSSG ฟื้นตัวขึ้นได้ โดยคาดว่าจะกลับมาเปิดธุรกิจโรงแรมและอาหารได้ครบ 100%ช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวามคมปีนี้


*อัพเป้าเป็น 28 บาท


ดังนั้น จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ปรับราคาเป้าหมายปี 2564 ขึ้นมาอยู่ที่ 28.00 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7%, terminal growth ที่ 2.5%) เทียบเท่า EV/EBITDA ที่ 15 เท่า (-0.5SD below 10-yr average EV/EBITDA) จากเดิมที่ 22.00 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7%, terminal growth ที่ 2.0%) โดยมองว่าหากวัคซีนใช้งานได้จริงจะทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาเดินทางได้ และคาดว่ากำไรจะกลับมาที่ระดับปี 2563 ได้ในปี 2567 แต่ยังมีความเสี่ยงจากการระบาดของ COVID-19 ระลอก 2 ที่ต้องติดตาม

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X