11 กันยายน 2020 เวลา 06:00 น.
ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังผันผวน หลังดัชนีเกิดอาการทรุดต่ำกว่า 1,300 จุด ด้วยปัจจัยกระทบเชิงลบที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การเข้าลงทุนในช่วงจังหวะเวลาแบบนนี้ อาจจะดูยากลำบากโดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ หรือผู้ที่จิตตกเกิดความกลัวตลาด อย่างไรก็ตาม เรามักจะเคยได้ยินคำที่ว่า จงกล้าในขณะที่คนอื่นกลัว และจงกลัวในขณะที่คนอื่นกล้า แต่ถ้ากล้าไม่ดูตาม้าตาเรือก็อาจบาดเจ็บได้เช่นกันครับ
ETC หุ้นโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทย ที่เพิ่งเข้าตลาดมาไม่นาน ปัจจุบัน ETC มีโรงไฟฟ้า 3 โครงการที่มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 20.4 เมกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 16.5 เมกะวัตต์กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระยะเวลา 20 ปี แม้ว่าหลังจากเข้ามาซื้อขายแล้วราคาหุ้นจะเกิดอาการอ่อนย้อยคล้อยลงต่ำจนน่าใจหาย แต่หุ้นตัวนี้ก็ยังมีเสน่ห์ที่น่าสนใจ
อับดับแรก ETC อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นสาธารณูปโภค ด้านไฟฟ้า โดยธรรมชาติของธุรกิจประเภทนี้ จะไม่ค่อยผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจไม่ว่าจะดีหรือแย่ เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐที่ยาวนาน รายได้ที่เข้ามาจึงมีความต่อเนื่อง อีกทั้ง ไฟฟ้ายังเป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน และความต้องการด้านพลังงานไฟฟ้าก็ยังเติบโตอยู่ทุกๆปี ดังนั้นจะบอกว่า ETC เป็นหุ้น Defensive ตัวนึงในตลาดหุ้นไทยก็ว่าได้
จุดเด่นสำคัญของ ETC คือสามารถเข้าถึงเชื้อเพลิงจากขยะอุตสาหกรรมอัดก้อน ( RDF) ซึ่งเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของกิจการโรงไฟฟ้า โดยผ่าน บริษัทแม่อย่าง BWG ที่เป็นผู้รับบริหารกำจัดกากอุตสาหกรรมรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งมีโรงงานผลิตเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรมอัดก้อน (RDF) นอกจากจะทำให้ ETC ไม่ประสบปัญหาขาดแคลนเชื้อเพลิงซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานของโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งแล้ว ยังสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้อีกมาก ทำให้ ETC มีความมั่นคงด้านเชื้อเพลิง และยังมีความได้เปรียบคู่แข่งในแง่ของต้นทุนเชื้อเพลิงอีกด้วย
นอกจากนี้ จากนโยบายการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของภาครัฐก็เป็นอีกปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดการเติบโตของ ETC ได้อีกในอนาคต จากการเปิดให้มีการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ล่าสุดโครงการประมูลโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมอีก 44 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการค้างท่อมาจากแผน PDP 2018 และมีกำหนดต้องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในปี 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้วจำนวน 40 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้คาดว่าจะเปิดประมูลได้แล้วเสร็จภายในปีนี้และต้นปีหน้าตามลำดับ
ด้วยศักยภาพที่มี ความพร้อม ตลอดจนมีคุณสมบัติครบถ้วน เช่น ต้องมีพื้นที่ก่อสร้างในนิคมอุตสาหกรรม มีปริมาณเชื้อเพลิงเพียงพอ มีประสบการณ์ในการดำเนินการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ ETC จะมีโอกาสชนะการประมูลโครงการดังกล่าวได้แทบทั้งหมด ยังไม่นับกรณีการเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าที่จะมีเพิ่มขึ้นอีกตามการเติบโตของประเทศในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นคำถามคาใจนักลงทุนในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องราคาหุ้นบนกระดานที่ยังต่ำกว่าราคาจองอยู่พอสมควร เรื่องนี้เราคงต้องประเมินมูลค่าที่แท้จริงในตอนนี้ของ ETC ดูว่าน่าสนใจแล้วหรือยัง โดยพิจารณาจากค่าพีอี อย่างน้อยภายในปี 2563 นี้จะอยู่ที่เท่าไหร่ จากผลการดำเนินงานในครึ่งปีผ่านไปของ ETC ที่ประกาศออกมาให้เห็นที่ระดับ 80 กว่าล้านบาท โดยในไตรมาส 2/63 เป็นไตรมาสที่มีการรับรู้รายได้และกำไรเข้ามาเต็มไตรมาสของทั้ง 3 โรงไฟฟ้าที่ COD เรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ 60 กว่าล้านบาท นั่นเท่ากับว่าอีก 2 ไตรมาส ที่เหลือของปีนี้ ETC จะมีกำไรที่ประเมินได้อยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาท นั่นเท่ากับว่าทั้งปี 2563 นี้ ETC จะมีกำไรสุทธิอยู่ราว 200 ล้านบาท ซึ่งจะคิดเป็นกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.09 บาทต่อหุ้น ( กำไร 4 ไตรมาส หารด้วยจำนวนหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด) หากพิจารณาจากราคาหุ้นบนกระดานตอนนี้ ค่าพีอีจะอยู่ที่ราว 22 เท่า ณ สิ้นปี 2563 นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
สรุปว่า ด้วยศักยภาพ คุณสมบัติ ความพร้อมต่างๆที่ ETC มีทั้งเรื่อง วัตถุดิบ ต้นทุน ความสำเร็จในการขายไฟฟ้าได้ครบทั้ง 3 โรง และยังเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงในแง่ของรายได้และกำไร รวมถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคตจากจำนวน เมกะวัตต์ที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคตของ ETC อย่างไรก็ตาม การตัดสินลงทุนหรือไม่อยู่ที่การตัดสินของนักลงทุนเอง ที่จะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ตลอดจนพิจารณามูลค่าที่แท้จริงในอนาคตให้ได้ โชคดีครับ
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม