> SET >

31 สิงหาคม 2020 เวลา 16:25 น.

"ทรีนีตี้” เสิร์ฟ 12 หุ้นน่าช้อน ช่วงตลาดอ่อนตัว

ทันหุ้น-สู้โควิด : "ทรีนีตี้” มองหุ้นเดือน ก.ย. ขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่ แถมในมิติเชิงมูลค่า ยังมี Downside เป็นต่อ Upside หลังนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการ EPS อย่างต่อเนื่อง แนะกันเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเพื่อรอซื้อในช่วงดัชนีย่อตัวหรือปรับฐาน ให้กรอบการเคลื่อนไหวเดือนนี้ที่ 1,270 -1,340 จุด มองหุ้นขนาดกลาง-เล็กมีโอกาส Outperform ต่อไป


นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์   บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผย ถึงทิศทางการลงทุนเดือนกันยายนว่า ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัว Sideways ถึง Sideways down หลังนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยประมาณการ EPS ปี 2021 ณ ตอนนี้อยู่เพียง 76.7 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ หากอิงกับ PE Model ของทรีนีตี้ซึ่งมีกรอบบนของ Forward PE อยู่ที่ 16.8 เท่า จะได้ว่าระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมในกรณีดีสุดจะอยู่เพียงแค่ 1,290 จุดเท่านั้น ซึ่งหากเทียบเคียงกับดัชนีปัจจุบัน จะเห็นว่ามี Downside risk อยู่ จึงประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัวอิงทางลงมากกว่าในเดือนนี้


“ขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ไม่ใช่จังหวะการลงทุนที่ปลอดภัยมากนัก เพราะ Earning Yield Gap ของ SET  ทำจุดต่ำสุดครั้งใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเทียบเคียงกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยหรือสหรัฐฯเองก็ตาม ซึ่งทำให้ช่วงถัดไปอาจเห็นการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ทั้งไทยและเทศมากขึ้น”


นายณัฐชาต กล่าวว่า การลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจโตต่ำ หรือบางประเทศถึงขั้นติดลบส่งผลให้นักลงทุนแสวงการลงทุนในหุ้น Growth stock หรือหุ้นเติบโต โดยนักลงทุนยอมที่จะจ่ายค่าพรีเมี่ยมให้กับหุ้นเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าหุ้นเติบโตซึ่งในกรณีของไทยมักเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจึงเป็นธีมการลงทุนหลักในตลาดโลก ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้น Value stock หรือหุ้นที่มีมูลค่าถูกในช่วงนี้ ทั้งนี้ ทรีนีตี้คาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงเกิดขึ้นต่อไป ตราบใดที่เศรษฐกิจยังไม่เข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัวอย่างแท้จริง


“ตอนนี้หุ้นไทยไม่ได้อยู่ในสายตานักลงทุนต่างประเทศเลยเพราะหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ถูกปรับลดประมาณการ EPS ลงมาต่อเนื่อง แถมปีหน้าจะโตเพียง 20% เท่านั้น แต่ทว่าในทางกลับกัน หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในดัชนี sSET กลับได้รับการปรับประมาณการเพิ่มจากนักวิเคราะห์ในตลาด จนทำให้ Forward PE ปัจจุบันของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและถูกว่า Forward PE ของหุ้นขนาดใหญ่อีกด้วย”


นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในเดือนกันยายน แนะนำนักลงทุนรอจังหวะที่ดัชนีย่อตัวลงมาที่บริเวณแนวรับในการเข้าสะสมหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีธีมการลงทุนน่าสนใจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ธีม ดังนี้ 1. กลุ่มบริหารหนี้ที่ได้ประโยชน์จากหนี้เสียที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แนะนำ JMT และ CHAYO 2. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบราคาถูก และอิงกับสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลกระทบน้อย หากเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว แนะนำ SFLEX, PTL, BGC, UTP 3. กลุ่มปั๊มน้ำมัน ซึ่งได้ประโยชน์จากค่าการตลาดที่ทรงตัวในระดับสูง และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ แนะนำ PTG 4. กลุ่มถุงมือยาง ที่มียอดการส่งออกแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าสามารถหาจังหวะการเข้าซื้อได้ในช่วงที่มีข่าวดีเรื่องวัคซีนต้าน COVID-19 ออกมา แนะนำ STGT และ 5. หุ้นอื่นๆที่มี Earnings momentum เชิงบวกในช่วงครึ่งปีหลัง อาทิ ILINK, PRM, TKN, TPCH เป็นต้น


สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในเดือนกันยายนก็คือ ตัวเลขภาคการผลิตทั่วโลก หากตัวเลขดีอาจเป็น Sentiment เชิงบวกกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ซึ่งจะมีคิวการประชุมกันอย่างหนาแน่นในเดือนนี้ ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศ ติดตามประเด็นทั้งในสภาและนอกสภา อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญและงบประมาณ และการชุมนุมของกลุ่มคนต่างๆ สุดท้าย ต้องติดตามความเป็นไปได้ในการต่ออายุมาตการควบคุมการชอร์ตเซลของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าหากถูกยืดออกไปจากจากที่จะครบกำหนดอายุในวันที่ 30ก.ย. นี้ ก็อาจทำให้การปรับฐานแรงๆของดัชนีนั้นยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่เช่นเดิม


นายณัฐชาต กล่าวว่า ทรีนีตี้ ให้ความสำคัญเรื่อง  Asset Allocation มาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ช่วงต้นปีแนะนำการลงทุนในทองคำราว 10%  ของพอร์ตการลงทุนรวม แต่เมื่อทองคำปรับตัวทะลุระดับ2,000 เหรียญฯต่อออนซ์ จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักลงมาเหลือ 5% อย่างไรก็ตาม ล่าสุดหลังราคาหลุดต่ำกว่า 2,000 เหรียญฯต่อออนซ์อีกครั้ง จึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักอีกครั้งหนึ่งมาอยู่ที่สัดส่วนราว 5-10% ของพอร์ต 


โดยมองว่าการลงทุนในทองคำยังคงมีความน่าสนใจ จากแนวนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะยังคงผ่อนคลายต่อเนื่อง รวมถึงมีการปล่อยให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มทะลุระดับ 2% ได้ในบางช่วงเวลา ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรแท้จริงอยู่ในระดับติดลบต่อไป ทั้งนี้ ประเมินภาวะฟองสบู่ในทองคำจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าราคาทองคำจะขึ้นไปที่ระดับ 2,166 เหรียญฯต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาที่เทียบเท่าจุดสูงสุดในยุค 1980 ในมิติของราคาทองคำแท้จริง


อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก
https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก
https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก
https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก
https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก
https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก
https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก
https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X