ทันหุ้น-สู้โควิด-BGRIMต้นทุนก๊าซลดฮวบดันกำไร Q3 เพิ่มอีก 400 ล้านบาท มั่นใจงบครึ่งปีหลังดีต่อเนื่อง ดีมานด์ใช้ไฟฟ้ากลับมาปกติ เจรจาซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศ การผลิตไฟฟ้าอาจขยับแตะ 7.2 พันเมกะวัตต์ ส่วนโครงการ LNG to Power เวียดนาม 2-3 เมกะวัตต์ เซ็น PPA ต้นปี 64 เฮ! ติด FTSE Large Capดึงความสนใจนักลงทุนเพิ่ม

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง จากแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติ ที่ลดลงอย่างมาก เห็นได้จากทางปตท.ได้ทำประมาณการราคาก๊าซธรรมชาติลดลง อย่างต่อเนื่องจากเดือนมิถุนายนที่อยู่ในระดับ 256.8บาทต่อMMBTU ล่าสดเดือน กันยายนจะอยู่ที่ 230.12บาทต่อMMBTUและเดือนตุลาคมจะลดลงมาที่ระดับ 213.92 บาทต่อMMBTUจะเห็นได้ว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก

ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทให้ดีขึ้น เพราะเมื่อราคาต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 1 บาท จะส่งผลให้บริษัทมีกำไรเพิ่ม 15-16 ล้านบาท ขณะเดียวกันการได้เป็นผู้จัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรือ ผู้ใช้บริการ (Shipper) ก็จะมาช่วยให้ต้นทุนของบริษัทลดลงด้วย เพราะจะนำไปใช้สำหรับโรงไฟฟ้า SPP Replacementของบริษัท ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2565

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการคำนวณราคาก๊าซของ ปตท. ตามข้อมูลที่ได้ จะพบว่าไตรมาส 2 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 261.4 บาทต่อMMBTUขณะที่แนวโน้มไตรมาส 3 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 235.13 บาทต่อMMBTUนั้นหมายความว่าราคาก๊าซมีโอกาสลดลง 26.27 บาท BGRIM จึงมีโอกาสที่จะได้รับกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีกราว 394 ล้านบาท

*ต้นทุนลดดันงบโต

นางปรียนาถ ระบุว่า บริษัทยังมีการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้านิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้มีการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าใหม่ไปแล้วกว่า 15 เมกะวัตต์ในปีนี้ และมีการเซ็นสัญญาอีก 40 เมกะวัตต์ ก็จะทยอยจ่ายไฟฟ้าต่อเนื่อง สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าที่ขณะนี้กลับมาปกติแล้ว

อย่างลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น16% ในเดือนมิถุนายน และเติบโตขึ้น 32% ในเดือนกรกฎาคม รวมไปถึงลูกค้าในกลุ่มยางรถยนต์ก็มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกัน ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์และอิเล็กทรอนิกส์ ยอดขายไฟฟ้าไฟฟ้า7 เดือนแรกของปีเติบโตกว่า 18% และ 13% ตามลำดับ สะท้อนว่าขณะนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในหลายอุตสาหรรม ยังอยู่ในระดับที่ดี

นอกจากนี้บริษัทก็ยังมองโอกาสที่จะไปสร้างโรงไฟฟ้าให้ภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการที่จะมีโรงไฟฟ้าใช้เองซึ่งขณะนี้มีลูกค้าติดต่อเข้ามาจำนวนมาก และการหาพันธมิตรในการทำเรื่องของสมาร์ทซิตี้ สมาร์ทบิวดิ้ง เพื่อสอดคล้องกับโลกพลังงานในปัจจุบัน อย่างการทำโซลาร์รูปท็อป

ส่วนการที่ล่าสุดทางทางกระทรวงพลังงาน ได้มีการพูดในเรื่องประเด็นมีปริมาณสำรองเกินราว 40% บริษัทมองว่าไม่กระทบต่อบริษัทแต่อย่างใด เพราะโรงไฟฟ้าของบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวอยู่แล้ว และขายไฟฟ้าส่วนใหญ่ให้แก่ลูกค้านิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของบริษัทจึงไม่ต้องมีความกังวลเรื่องประเด็นดังกล่าว และบริษัทยังเดินหน้าในการหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งการเจรจาซื้อกิจการM&A โครงการโรงไฟ้ฟาประเภท SPP จำนวนหลายแห่ง กำลังการผลิตกว่า 700 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในปีนี้

นอกจากนี้ยังมีการเจรจาลงทุนโครงการ LNG to Power ที่เวียดนาม ขนาด 2-3 พันเมกะ คาดว่าจะมีโอกาสลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือ PPA ในต้นปี 2564 โดยโอกาสการเติบโตในเวียนนามมีอยู่มาก บริษัทคาดว่า Return On Equity ต้องไม่ต่ำกว่า 12%

*ฐานะการเงินแข็งแกร่ง

ขณะเดียวกันยังมีการศึกษาการลงทุนในโครงการลมที่ประเทศเวียดนาม ขนาด 100-200 เมกะวัตต์ และยังมีโครงการพลังงานลมที่ประเทศเกาหลีใต้อีก 130-150 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนตามนโยบายของภาครัฐในหลายพื้นที่ ซึ่งโครงการเหล่านี้เป็นโอกาสที่จะเพิ่มเข้ามาที่บริษัทยังไม่ได้นับรวมไปในจำนวนเมกะวัตต์ แต่คาดว่ามีโอกาสที่จะขยายกำลังการผลิตไปได้ถึง 7.2 พันเมกะวัตต์ ในปี 2568 จากปีนี้ที่จะมีกำลังการผลิตณสิ้นปี ที่ 3.05 พันเมกะวัตต์

ขณะที่ฐานะการเงินของบริษัทก็มีความแข็งแกร่งมีเงินสดในมือกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท และยังมีวงเงินกู้อีก 9 พันล้านบาท ยืนยันจะไม่เพิ่มทุนแม้ว่าจะได้ดีลมาถึง 7.2 พันเมกะวัตต์ ส่วนต้นทุนการเงินของบริษัทอยู่ที่ระดับ 3-4%  ขณะเดียวกันล่าสุดบริษัทเป็นหุ้นไทยที่เข้า FTSE All World Indexโดยได้รับการUpgrade จากFTSE Mid Cap มาที่FTSE Large Cap ซึ่งก็เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่อเนื่อง และทางบริษัทก็มีการโรดโชว์ให้แก่นักลงทุนสถาบันอยู่สม่ำเสมอ