ทันหุ้น-สู้โควิด : EPG กำไรไตรมาส 1 ของปี 63/64 (เม.ย.-มิ.ย.63) มีกำไร 75.69 ล้านบาท ลดลง 65.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ผู้บริหารเชื่อว่า หากสถานการณ์ดีขึ้นและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดี EPG จะสามารถกลับสู่การเติบโตใกล้เคียงกับสภาวะปกติได้โดยเร็ว ด้านโบรกเกอร์มองกำไรออกมาดีกว่าคาด และเชื่อว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แนวโน้มจะกลับมาฟื้นตัว โดยปรับคำแนะนำเป็นซื้อเก็งกำไร
บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลกแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ไตรมาส 1 ของปี 63/64 (เม.ย.-มิ.ย.63) มีกำไร 75.69 ล้านบาท ลดลง 65.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 215.94 ล้านบาท
นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เปิดเผยว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ต้องหยุดชะงักจากมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ในหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้นำนโยบาย “USE” (U: Utilization การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า S: Save การประหยัดค่าใช้จ่าย และ E: Efficiency การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) มาใช้บริหารงานภายในองค์กร เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายบางส่วน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 1 ปี 63/64 (เม.ย.63 – มิ.ย.63) บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,952.2 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,672.4 ล้านบาท หรือลดลง 27.0%
แม้ยอดขายลดลงแต่สามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ 28.9% และมีกำไรสุทธิ 74.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท หรือ ลดลง 65.3% ทั้งนี้การดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ EPG ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ดังนี้
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 635.4 ล้านบาท หรือ ลดลง 16.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอุปสงค์ของฉนวนแอร์โรเฟลกซ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่มียอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างปรับลดลงจากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งเกิดความล่าช้าจากกระบวนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มียอดขายรวม 751.6 ล้านบาท หรือ ลดลง 41.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่ายรถยนต์หลายแห่งในประเทศประกาศหยุดการผลิตชั่วคราวตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2563 จึงทำให้กลุ่มลูกค้า OEM (Original Equipment Manufacturer) ได้รับผลกระทบพอสมควร แต่แอร์โรคลาส ไม่ได้ผลิตเพื่อส่งลูกค้ากลุ่ม OEM เพียงเท่านั้น แต่ผลิตสินค้าขายให้กับลูกค้ากลุ่ม After Market และโชว์รูมรถยนต์ด้วย ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการติดตั้งชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ ได้แก่ พื้นปูกระบะ (Bed Liner) หลังคารถกระบะ (Canopy) เป็นต้น สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลง
และความล่าช้าจากการขนส่งชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ และธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย มียอดขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ตามในเดือนมิถุนายน 2563 เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มียอดขายรวม 565.1 ล้านบาท หรือ ลดลง 9.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ผลกระทบจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศลดลง ทำให้ยอดขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทถ้วยน้ำดื่มลดลง แต่ได้รับประโยชน์จากบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภท กล่องใส่อาหารชดเชยบางส่วนจากการที่ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยสั่งอาหารเดลิเวอรี่มากขึ้น
บริษัทมีต้นทุนขายสินค้าลดลง 27.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 18.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกหนึ่งประเด็นที่ส่งผลกระทบกับกำไรสุทธิของบริษัท คือบริษัทได้ปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 9 และTFRS 16 มีผลต่อการจัดประเภทรายการใหม่และการวัดสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงิน โดยบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและ ขาดทุนอื่น เป็นจำนวน 17.9 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า ที่ 20.7 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทร่วมทุนที่ผลิตสินค้าเพื่อขายให้อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และการแพร่ระบาดของโรค Covid-19
“แนวโน้มธุรกิจของบริษัทในปีบัญชี 63/64 (เม.ย.63 - มี.ค.64) บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายที่ 9,000 ล้านบาท รักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ 28-30% โดยหวังเป็นอย่างยิ่งหากสถานการณ์ดีขึ้นและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดี EPG จะสามารถกลับสู่การเติบโตใกล้เคียงกับสภาวะปกติได้โดยเร็ว" นาย เฉลียว กล่าว
**กำไรดีกว่าคาด
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่าการที่ EPG ไตรมาส 1 มีกำไรสุทธิที่ 75.69 ล้านบาท ลดลง 65% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 69% จากไตรมาสก่อน หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติอยู่ที่ 119 ล้านบาท ดีกว่าฝ่ายวิจัยคาด เพราะ GPM ที่ดีกว่าคาด และขาดทุนจากบริษัทร่วมค้าที่น้อยกว่าคาด แต่เป็นไปตามที่ตลาดคาด ซึ่งรายได้รมลดลง จากผลกระทบโควิด-19 ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสะดุดลง รวมถึงรับรู้ขาดทุนจากบริษัทร่วมค้า จากยอดผลิตรถยนต์ที่หดตัว
นอกจากนี้คาดว่ากำไรปกติในไตรมาส 2 ถึง 4 ในปี 2563/2564 คาดฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของรายได้รวม GPM และผลประกอบการของบริษัทร่วม หลังผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ รวมถึงค่ายรถยนต์ต่างๆ เริ่มกลับมาดำเนินการผลิต ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำเป็นซื้อเก็งกำไร จากเดิมแนะนำถือ และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายของปี 2564 อยู่ที่ 5.20 บาทต่อหุ้น เพราะคาดว่าผลประกอบการของ EPG ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ราคาหุ้น EPG ช่วงเช้าอยู่ที่ 4.68 บาท ลบ 0.14 บาท หรือ 2.90% มีมูลค่าการซื้อขาย 36.45 ล้านบาท
อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม