> SET > STGT

10 สิงหาคม 2020 เวลา 08:00 น.

โบรกนอกเชียร์หนักSTGT เป้า120บ.ถูกกว่ามาเลย์

ทันหุ้น-สู้โควิด-โบรกนอก CLSA เชียร์ STGTชี้กำไรเติบโตแรงปีนี้แตะ 5,131 ล้านบาท โต 815% ก่อนแตะ 8,572 ล้านบาทในปี 2564 วางเป้า 120 บาท เป็นราคาที่มีส่วนลดจากกลุ่มบริษัทถุงมือยางมาเลเซีย ชี้มีจุดเด่น STA หนุนวัตถุดิบยางธรรมชาติ ขณะที่อัตราเติบโตสูง ชี้แม้เพิ่มกำลังผลิตแต่ถุงมือยางยังขาดแคลนจากดีมานด์ที่เร่งตัวขึ้น


บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (CLSA) ออกบทวิเคราะห์แนะนำซื้อหุ้น บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางอันดับ 3 ของโลก จากความต้องการถุงมือยางที่เพิ่มขึ้น หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 โดยคาดว่าจะเห็นกำไรปี 2563อยู่ที่ระดับ 5,131 ล้านบาท เติบโต 815%และเติบโตเป็น 8,572 ล้านบาท ในปี 2564หรือเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก 67% ให้ราคาเป้าหมายที่ 120บาท อิง พีอี ที่ระดับ 20 เท่า ซึ่งเป็นพีอีที่มีส่วนลด 15%เมื่อเทียบกับกลุ่มบริษัทถุงมือยางในมาเลเซีย


@ กำลังผลิตเพิ่ม 40%ในปี 2566


CLSA ประเมินว่า ผู้ผลิตถุงมือ 7 อันดับแรกของโลกรวมถึง STGT (รวม 75% ของส่วนแบ่งการตลาด) จะเพิ่มกำลังการผลิต 57%ในช่วง 2 ปี แต่ก็ยังเชื่อว่าความต้องการถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นจากสถานการโควิดจะทำให้ถุงมือยางขาดแคลนอยู่ โดยคาดการณ์ความต้องการถุงมือทั่วโลกที่ 25% , 15 % และ 10% ในปี 2563 2564และ 2565 ตามลำดับ จากเดิมที่ความต้องการถุงมือยางจะอยู่เฉลียที่ปีละ 8-9%ต่อปี โดย STGT มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจาก 32,600ล้านชิ้นในปัจจุบันเป็น 50,000 -70,000 ล้านชิ้นในปี 2567/2568ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คือ Sri Trang Agro (STA) ทำให้ STGT ได้ประโยชน์ในด้านข้องต้นทุนยางธรรมชาติราคาถูกซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับถุงมือยาง ที่่ใช้ ลาเท็กซ์ เป็นส่วนผสม 70% โดยการประมาณการอุปสงค์ทั่วโลกนั้น ยังไม่รวมโอกาสที่ความต้องการใช้ถุงมือยางของประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


@ STGT โอกาสเติบโตสูงกว่ากลุ่ม


CLSA คาดการณ์ว่าผลประกอบการของ STGT จะเพิ่มขึ้น 815%ในปีนี้ เนื่องจากฐานที่ต่ำ โดยมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 20%ขณะที่ปี 2564 จะเติบโตอีก 67%ดังนั้นราคาปัจจุบันยังส่วนลดจากบริษัทถุงมือยางอันดับ 1อย่าง Top Glove ราว 50% จึงแนะนำเริ่มต้นด้วยราคาเป้าหมายซื้อ 120 บาท โดยปี 2563 จะมีกำไรต่อหุ้น 3.58 บาท คิดเป็นพีอี 33.5 เท่า และปี 2564 จะมีกำไรต่อหุ้น 5.97 บาท พีอี 20เท่า และจากการตรวจสอบด้วย Gordon Growth Model (GGM) เป้าที่ 120 บาทแสดงถึงการเติบโตในระยะยาว 5.6%ซึ่งเราเชื่อว่าสมเหตุสมผลกับการเติบโตทางอุตสาหกรรม 8-10%ต่อปี

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X