ทันหุ้น –สู้โควิด - CHAYO ยันไม่กระทบแบงก์ออกมาตรการช่วยลูกหนี้ กดเพดานดอกเบี้ยลด แม้มีธุรกิจปล่อยสินเชื่อ ระบุสินเชื่อไม่มีหลักประกันปล่อยน้อยมากเพียง 2-3 ล้านบาท จากวงเงินปล่อยทั้งหมด 50 ล้านบาท เดินเกมเจรจาธนาคารพาณิชย์ ซื้อหนี้ตามแผน

นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO เปิดเผยว่า จากกรณีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 2 ส่วนที่เป็นการลดเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เหลือ 16%, ลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีวงเงินหมุนเวียน เช่น บัตรกดเงินสด จาก 28% เหลือ 25% และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผ่อนชำระเป็นงวด ที่ลดเพดานดอกเบี้ยเหลือ 25% รวมถึงสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ลดดอกเบี้ยเหลือ 24% นั้น บริษัทไม่มีผลกระทบจากการลดเพดานดอกเบี้ย เนื่องจากบริษัทไม่ใช่สถาบันทางการเงิน หรือ แบงก์

ไม่หวั่นแบงก์คุม

แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจส่วนหนึ่งของบริษัท ดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ปิโกไฟแนนซ์ ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขของการลดเพดานดอกเบี้ย สำหรับเงื่อนไขดังกล่าวใช้สำหรับหนี้ไม่มีหลักประกัน หรือสินเชื่อส่วนบุคคล แต่บริษัทไม่กังวลต่อการช่วยเหลือลูกหนี้ดังกล่าว เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันบริษัทปล่อยน้อยมาก หรือปล่อยอยู่เพียง 2-3 ล้านคน จากปีก่อนปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 5 ล้านบาท เมื่อเทียบสัดส่วนดอกเบี้ยที่ลดลงก็มีผลกระทบไม่มาก

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อปีนี้ที่ 200 ล้านบาท ส่วนช่วงที่ผ่านมาสามารถปล่อยสินเชื่อได้แล้วที่ 49-50 ล้านบาท แบ่งเป็น สินเชื่อที่มีหลักประกัน 46-47 ล้านบาท และเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน 2-3 ล้านบาท

ขณะที่การเร่งรัดและติดตามหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ มีแนวโน้มจะควบคุมการติดเร่งรัดและติดตามดังกล่าว บริษัทไม่มีผลกระทบ หากแบงก์ออกมาตรการควบคุม แต่ธุรกิจที่จะดั้นบผลกระทบคือกลุ่มแบงก์ และลิสซิ่งมากกว่า

ไตรมาส 3 สดใส

บริษัทมองผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2563 มีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนและจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงที่ทางธนาคารจะเร่งขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมามากขึ้น และจะมากที่สุดในไตรมาส 4/2563 ขณะที่ปัจจุบันบริษัทยังคงมีความสนใจซื้อหนี้ด้อยคุณภาพทั้งแบบที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหารในพอร์ตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับทางธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 - 300 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทใช้เงินลงทุนไปประมาณ 100 ล้านบาท ในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพแบบมีหลักประกันเข้ามาบริหารในพอร์ตเพิ่มแล้วมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท จากเป้าหมายการใช้เงินลงทุนทั้งปี 2563นี้ที่วางไว้ที่ 1 พันล้านบาท รองรับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในพอร์ตเพิ่มมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท