ทันหุ้น –สู้โควิด –เจาะพื้นฐาน ORI ยังแกร่งครึ่งปีหลังมีโครงการรอโอน 8 โครงการ ลุยเปิดโครงการใหม่เพิ่ม 12 โครงการ กว่า 1.7 หมื่นล้านบาท คาดผลงานจะดีขึ้นต่อเนื่อง และทำนิวไฮช่วงไตรมาส 4/2563 ชี้ Valuation น่าสนใจ ผลตอบแทนปันผลเฉลี่ย 6.8% ต่อปี คาดจ่ายปันผลครึ่งปีแรก ที่ 0.17 บาทต่อหุ้น เคาะราคาเหมาะสมที่ 8.80 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุถึง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ว่ายอดขายไตรมาส 2/2563 ทำได้ในระดับที่ดีอยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสก่อน, ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ) แบ่งเป็นแนวราบ 30% และคอนโด 70% ซึ่งสัดส่วนหลักกว่า 91% ของยอดขายทั้งหมดมาจากการเน้นระบายสต็อกพร้อมโอนทำให้ยอดขายครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท (-13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน) คิดเป็น 52% ของเป้าทั้งปีของบริษัทที่ 2.15 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ ครึ่งปีหลังคาดยอดขายจะเร่งขึ้น จากแผนรุกเปิดโครงการใหม่ทั้งแนวราบ และคอนโด ทั้งหมด 12 โครงการ เป็นคอนโด 4 โครงการ และแนวราบ 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท โดยคอนโดแรกที่เปิดตัวในปีนี้และน่าจับตาคือ The Origin Onnut มูลค่า 700 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 6.8 หมื่นบาทต่อตารางเมตร เปิดขายวันที่ 8 สิงหาคม 2563 นี้

ซึ่งเพิ่มจากแผนเดิม และเป็นโครงการแรกที่ขายผ่านช่องทางออนไลน์ 100% คาดเริ่มโอนกรรมสทิธิ์ไตรมาส 4/2565 โดยมองว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการของแบรนด์The Origin ที่ผ่านมา ซึ่งทำยอดขายเปิดตัวใหม่ได้ถึง 70-80% จากทำเลที่มีศักยภาพ และราคาไม่สูงนัก จึงประเมินว่ายอดขายทั้งปีมีโอกาสสูงกว่าเป้าที่บริษัทตั้งไว้

*กำไรปกติแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 635 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน, -14% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ) หากไม่รวมกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนเพื่อพัฒนาคอนโด JV ในไตรมาส 1/2563 และไตรมาส 2/2562 โดยกำไร ปกติไตรมาส 2/2563 จะขยายตัว 41% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ชะลอ 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ถือว่าดีกว่าที่เคยคาดไว้ก่อน หน้าว่าจะลดลงทั้งจากไตรมาสก่อน และจากช่วงเดียวกันปีก่อน

มีสาเหตุมาจากยอดโอนที่คาดทำได้ดี 2.96 พันล้าน บาท เติบโต 51% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้มีสถานการณ์ COVID-19 แต่ได้แรงหนุนจาก ความสำเร็จของการเร่งระบายสต็อกเหลือขาย บวกกับเริ่มรับรู้คอนโดใหม่ The OriginPhahol-Saphanmai มูลค่า 1.2 พันล้านบาท มียอดขายแล้ว 65%

อย่างไรก็ดีท่ามกลางการแข่งขันที่สูง ทำให้ใช้กลยุทธ์ออกโปรโมชันลดราคาขาย ส่งผลให้คาด อัตรากำไรขั้นต้นขายอสังหาฯ ปรับลดเป็น 36% จาก 39.9% ใน ไตรมาส 1/2563 และ 42.9% ในไตรมาส 2/2562 ขณะที่ส่วนแบ่งกำไร JV คาดอยู่ที่ 76 ล้านบาท เทียบกับ 139 ล้านบาทในไตรมาส 1/2563 และ -69 ล้านบาทไตรมาส 2/2562 จากการโอนคอนโด JV 2 แห่งต่อเนื่องจาก ไตรมาส 1/2563

*เป้า 8.80 บาท-ปันผล 17 สต.

ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2021 ที่ 8.80 บาท ยังแนะนำซื้อ หาก ไตรมาส 2/2563 ตามคาดกำไรปกติครึ่งปีแรกคิดเป็น 46% ของคาดการณ์ทั้งปี ประเมินว่า โมเมนตัมผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเร่งขึ้น โดยไตรมาส 3/2563 คาดขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน และทำจุดสูงสุดของปีในไตรมาส 4/2563 ตามแผนการโอนกรรมสทิธคิ์อนโดใหม่ที่มากขึ้น ทั้งนี้ไตรมาส 3/2563 เริ่มโอน 2 โครงการ และไตรมาส 4/2563 อีกกว่า 6 โครงการ รวมถึงการเปิดโครงการ แนวราบใหม่ที่มากขึ้น

ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรปกติปี 2563-2564 ที่ 2.3 พันล้านบาท (-12% จากปีก่อน) และ 2.96 พันล้านบาท (+26.5% จากปีก่อน) ตามลำดับ ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2564 ที่ 8.80 บาท โดย Valuation น่าสนใจ ราคาหุ้นซื้อขายบน P/E ปี 2563-2564 เฉลี่ย 6.2 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯที่ 7.3 เท่า พร้อมคาดผลตอบแทนปันผลเฉลี่ย 6.8% ต่อปี ระยะสั้น ยอดขายโครงการใหม่ที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ ทั้งนี้ บริษัทรายงานงบไตรมาส 2/2563 ในวันที่ 13 สิงหาคม 2563 โดยคาดประกาศจ่ายปันผลครึ่งปีแรก ที่ 0.17 บาทต่อหุ้น

ก่อนหน้านี้นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ช่วงไตรมาส 3/2563 บริษัทจะเปิดโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่ เบลกราเวีย (BELGRAVIA) แบรนด์บ้านเดี่ยวหรูระดับราคา 20-35 ล้านบาท จำนวน 1 โครงการ มูลค่าราว 1,600 ล้านบาท พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 4 มูลค่า 2,300 ล้านบาท และโครงการดิ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา มูลค่า 2,300 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่เปิดตัวในไตรมาส 3/2563 ทั้งสิ้น 6,200 ล้านบาท