ทันหุ้น – สู้โควิด - GUNKUL เข้าช่วงรุ่งเรืองไฮซีซันธุรกิจไตรมาส 3/2563  แดด ลม ปั๊มไฟกระฉูด เตรียมกดปุ่มเดินเครื่องโซลาร์ฟาร์มมาเลเซีย ขนาด 30 MW  ดันรายได้เพิ่ม ด้านงานก่อสร้างมีลุ้นคว้าโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มต่อเนื่อง เชื่อสามารถชดเชยงานสายไฟลงดินที่ปรับลดมูลค่าสัญญางานได้ โบรกเคาะเป้า 3.60 บาท

นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 จะมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนและเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจพลังงานทั้งแดดและลม ประกอบกับบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ในโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม ในประเทศมาเลเซีย ขนาด 30 เมกกะวัตต์ (MW) เข้ามาได้เพิ่มในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป

ส่งผลให้ภายในไตรมาส 3/2563 บริษัทจะมีการ COD รวมทั้งสิ้น 467 MW จากไตรมาส 2/2563 ที่มีกำลังการผลิตรวมราว 437 MW โดยล่าสุดได้รับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Tri Viet 1 และ Bach Khoa A Chau 1 ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 60 MW

ทั้งนี้บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่มีอยู่ในมือปัจจุบันรวมกว่า 638 MW โดยเป็นโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกกว่า 171 MW ตั้งเป้าหมายการมี PPA ครบ 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2565

*จ่อปิดดีลเวียดนาม

บริษัทยังคงมีความสนใจและมองหาโอกาสในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการเจรจากับทางภาครัฐในประเทศเวียดนามเพื่อลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ขนาดกำลังการผลิต 100-200 MW เบื้องต้นคาดว่าภายในปลายปี 2563 จะสามารถปิดดีลได้

ส่วนความคืบหน้าการเข้าร่วมประมูลโครงการโซลาร์ ขนาดกำลังการผลิต 1,000 MW ในเมียนมา ที่ผ่านมาบริษัทได้แสดงความประสงค์เข้าร่วมประมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าจากรัฐบาลเมียนมา

ขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) มองว่าในช่วงที่เหลือของปี 2563 จะมีการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2563 เนื่องจากบริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้หลังจากได้มีการโอนสินค้าแล้ว (Backlog)ราว 8-9 พันล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ถึงปี 2565

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เซ็นสัญญากับ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด มูลค่า 5,142 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโครงการสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในช่วงไตรมาส 4/2563 แต่ได้มีการแก้ไขสัญญาเหลือมูลค่า 4,500 ล้านบาท คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนักเนื่องจากบริษัทยังเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานเกี่ยวเนื่อง EPC อย่างต่อเนื่อง ซึ่งงานโครงการใหม่ที่จะทยอยรับรู้เข้ามาในช่วงที่เหลือของปีนี้มีตั้งแต่ขนาด 100-300 ล้านบาท เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยชดเชยงานที่ถูกปรับลดราคารับงานลงได้

**แนะซื้อเป้า3.60บาท

บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดกำไรปกติในไตรมาส 2/2563 ไว้ที่ 340 ล้านบาท จะทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากการได้โรงไฟฟ้าใหม่ช่วยประคอง แต่ลดลง 20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยจากการที่ผลประกอบการลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนนั้น คาดเป็นผลจากรายได้ธุรกิจ trading ลดลง 17% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และลดลง 24% จากไตรมาสก่อนหน้า จากผลกระทบโควิด-19 แต่หากเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้ายังทรงตัว แม้โรงไฟฟ้าพลังงานลมจะจ่ายไฟฟ้าได้น้อยลงจากปัจจัยฤดูกาล

โดยจากการได้โครงการใหม่โซลาร์เวียดนาม (Tri Viet 1+ Bach Khoa A Chau 1) ขนาด 60 MW รับรู้รายได้เข้ามาเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรกช่วยประคองผลการดำเนินงาน คงประมาณการกำไรปกติปี 2563 ไว้ที่ 2.7 พันล้านบาท เติบโต 24%  แม้กำไรปกติในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 จะคิดเป็น 25% ของประมาณการทั้งปี

อย่างไรก็ตาม major earnings contribution ของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจะอยู่ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 จากการเข้าช่วง high season ของ solar (ในญี่ปุ่น) และ wind farm ในไทย

ในขณะที่ธุรกิจรับเหมาการดำเนินการงานที่เซ็นสัญญาไปแล้วกลับมาเดินหน้าก่อสร้างได้ตามปกติ ส่วนโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินที่ล่าช้ามาจากช่วงต้นปีมูลค่าราว 4.2 พันล้านบาท คาดเริ่มดำเนินงานและเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2563 เป็นต้นไป

โดยประเมิน downside จากการล่าช้าดังกล่าวต่อประมาณการกำไรปี 2563 จำกัด ต่ำกว่า 5% จากปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมาทางฝ่ายยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อ GUNKUL โดยประเมินราคาเป้าหมาย ไว้ที่ 3.60 บาท และยังคงแนะนำ "ซื้อ"