> SET >

24 กรกฎาคม 2020 เวลา 17:47 น.

ลุ้นหุ้นไทยฟื้นแตะ1,450จุด ชูCPF-TFG-SCCน่าสะสม

ทันหุ้น - "บล.บัวหลวง" ฟันธงหุ้นไทยครึ่งหลังแกว่งตัว มองแนวต้านไว้ระดับ 1,450 จุด ระบุสภาพคล่องล้น-ยิวด์สูงกว่าตราสารหนี้ พร้อมชู CPF-TFG-SCC-SAWAD-MTC เด่นน่ามีติดพอร์ต รับภาพรวมธุรกิจฟื้นตัวจากโควิด 19


นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิเคราะห์คาดภาพวมตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังปี 2563 น่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ โดยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,450 จุด ส่วนแนวรับคาดไว้ 1,280 จุด แม้ภาพรวมการท่องเที่ยวจะยังไม่ฟื้นตัวประกอบกับทิศทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2563 จะปรับลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ประเทศ หลังพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันสภาพคล่องในระบบถือว่ามีอยู่ค่อนข้าง


หุ้นไทยยังมีสเน่ห์

นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในระดับที่ต่ำ 0.52% (บนอายุเฉลี่ย 3 ปี) อีกทั้งอัตราผลตอบแทนจากกาลงทุนหุ้นอยู่เฉลี่ย 2-2.2% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้เม็ดเงินลงทุนยังไม่ไหลออกไปจากตลาดหุ้น อีกทั้งทำให้ตลาดหุ้นยังมีความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุน


ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายเฉลี่ยบนค่า P/E 22 เท่าของประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2563 และบนค่า P/E เฉลี่ย 16.7 เท่าของประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2564 เมื่อเทียบค่าเฉลี่ย P/E ในช่วง 10 ปีก่อนที่อยู่ประมาณ 16 เท่า


ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้เชื่อจะได้เห็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อนไป และน่าจะกลับมาเป็นปกติในปลายปี 2564 ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 18 เดือน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงนี้ คือการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบสอง หลังในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ทหารอียิปต์ และเด็กหญิงอายุ 9 ปี ครอบครัวอุปทูตซูดานติดเชื้อเข้ามาในประเทศไทย, การควบคุม ผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงการเร่งค้นคว้าผลิตวัคซีนต้านโควิด-19


“ผลตอบแทนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) นับตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน -14.8%, -19.2% และ -22.92% ตามลำดับ โดยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำสุดในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งติดลบมากสุดถึง 40% ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันบวก 1.95% ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นเกาหลีที่ -0.2% ตามลำดับ หลังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั้ง 2 แห่งมีหุ้นเกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ และไอทีค่อนข้างมาก” นายชัยพรกล่าว


CPF-TFG-SCCน่าสะสม

สำหรับคำแนะการลงทุนนั้นควรใช้กลยุทธ์ “Sector Rotation” หรือสลับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนเป็นรอบ ๆ กล่าวคือ ขึ้นให้ขาย ลงให้ซื้อ เน้นลงทุนหุ้นไทย โดยผสมระหว่าง “หุ้นเติบโต” และ “กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ปันผลสูง” โดยหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตที่ดี คือ กลุ่มส่งออกอาหารประเภท หมู ไก่ ทูน่า อาทิ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG เพราะเป็นกลุ่มที่แนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง


กลุ่มบรรจุหีบห่อ ได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC และกลุ่มคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ อาทิ  บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ซึ่งกลุ่มที่กล่าวมาข้างต้นล้วนได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือปีนี้ หลังได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา


อย่างไรก็ตา นักลงทุนจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง ด้วยการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) แบ่งเป็น 1.หุ้นกู้และตลาดเงิน สัดส่วน 40% 2.ทองคำ สัดส่วน 12%, 3.กองทุนอสังหาริมทรัพย์, กองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 7%และตลาดหุ้นไทย สัดส่วน 10%


ส่วนที่เหลือลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 31% โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นฮ่องกง เน้นกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ (e-commerce), กลุ่มซอฟต์แวร์บริการ (Software-as-a-Service) และกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการแพร่ระบาดโควิด-19, การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และการทำงานจัดการขององค์กรทั่วโลกผ่านระบบออนไลน์ที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X