ทันหุ้น –สู้โควิด – WHA ดันยอดเช่าคลังสินค้าทะลุเป้า ระบุลูกค้าเรียงคิวเซ็นสัญญากว่า 40,000 ตร.ม. ในช่วงไตรมาส 3/2563 นี้ ด้านยอดขายสาธารณูปโภคในนิคมเติบโตต่อเนื่อง การเปิดโรงงานดันอัตราการใช้น้ำพุ่ง ลุ้นรัฐเปิด Business Bubble กระตุ้นยอดขายที่ดินช่วงที่เหลือของปี 2563 นี้ เข้าเป้า 1.4 พันไร่

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 3/2563 เชื่อว่ายังคงมีการขยายตัวดีต่อเนื่องทั้งในธุรกิจคลังสินค้า ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจผลิตน้ำ และธุรกิจไฟฟ้า เป็นต้น หลักๆ เป็นผลมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มเบาบาง รวมถึงการปลดล็อกดาวน์ของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจต่อได้

*คลังสินค้าขายดี

โดยธุรกิจโลจิสติกส์มองว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ค่อนข้างโดดเด่น ทำให้เชื่อว่าในปี 2563 จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมียอดการเช่าพื้นที่คลังสินค้าไปแล้วมากกว่า 100,000 ตารางเมตร และยังอยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญาอีกประมาณ 40,000 ตารางเมตร คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3/2563 นี้ ซึ่งส่งผลให้ยอดเช่าพื้นที่ภายในปี 2563 ทำได้ตามเป้าหมายในปีนี้ที่วางไว้ที่ 250,000 ตารางเมตร อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่ภายใต้การบริหาร รวม 239,000 ตารางเมตร จากพื้นที่รวมทั้งสิ้น 2,390,000 ตารางเมตร โดยเป็นแบบ Built-to-Suit ประมาณ 32,426 ตารางเมตร

ส่วนธุรกิจผลิตน้ำจำหน่ายในช่วงไตรมาส 3/2563 จะไม่มีปัญหาจากภัยแล้งเข้ามากดดันเหมือนในช่วงต้นปีที่ผ่านมาซึ่งจากความต้องการใช้น้ำในอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นทำให้ตอนนี้สามารถเดินเครื่องผลิตน้ำจำหน่ายได้ดีมากขึ้น ประกอบกับการปลดล็อกดาวน์ของภาครัฐทำให้ผู้ประกอบการกลับมาดำเนินกิจการได้เป็นบวกต่อปริมาณการขายน้ำในช่วงที่เหลือของปี 2563 นี้ ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ามองว่ามีแนวโน้มของการขยายตัวไปในทิศทางเดียวกันกับธุรกิจผลิตน้ำจำหน่าย

ขณะที่ยอดขายที่ดินในช่วงที่เหลือของปี 2563 นั้น ในปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับเป้ายอดขายใหม่ จากเดิมที่วางไว้แตะ 1,400 ไร่ แบ่งออกเป็นในประเทศ จำนวน 1,200 ไร่ และเวียดนาม จำนวน 200ไร่ รวมถึงการพิจารณาเป้าการเติบโตของรายได้รวมในปี 2563ใหม่ จากเดิมที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 15% เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงต้นปีและการล็อกดาวน์ประเทศในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม มองว่ายังคงต้องให้การจับตารอดูนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ รวมถึงการอนุญาตให้เดินทางระหว่างประเทศแบบ Business Bubble เพื่อเปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติ สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ว่าจะเป็นไปในทิศทางได้ หากว่ามีการอนุมัติเกิดขึ้นก็เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนให้กลุ่มผู้ประกอบการต่างชาติที่มีความสนใจจะขยายฐานการผลิตในไทยสามารถเข้ามาลงทุนได้ ซึ่งตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการต่างชาติจำนวนมาก รวมจำนวนกว่า 2,000 ไร่ หากปลดล็อกได้ก็เชื่อว่ายอดขายที่วางเป้าหมายเดิมไว้ก็มีโอกาสสำเร็จ

*แนะซื้อเป้าใหม่ 3.80 บาท

บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง WHA ว่า ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 3.80 บาท จากเดิม 2.80 บาท โดยทางฝ่าย re-rate PBV ขึ้นจากความเสี่ยงในการดำเนินงานปี 2563 ที่คลี่คลาย ตามยอด Presale ที่จะดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2563 นี้ หนุนโดย Business Bubble ที่ทางฝ่ายประเมินว่าจะยังเป็นไปตามแผนเดือนสิงหาคม 2563 และไม่เลื่อนเหมือน Travel Bubble เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนที่จะเข้ามาเป็นกลุ่มขนาดเล็กสามารถควบคุมได้ และการเข้ามาของนักลงทุนจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจที่จะขยายตัวในอนาคต

ประกอบกับคาดว่าความเสี่ยงต่อโอกาสที่ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นนั้นอยู่ระดับต่ำ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1. บริษัทคาด Business Bubble จะทำให้นักลงทุนกลับมาลงทุนเร็วสุดในปลายเดือนกรกฎาคม 2563, 2.อยู่ระหว่างการปรับลดเป้ายอด Presale ลงจากเดิม 1.4 พันไร่ ซึ่งเป็นไปตามที่ทางฝ่ายคาด ซึ่งประเมินยอดขายในปี 2563 ไว้ที่ 400 ไร่ และ 3.ต้นทุนทางการเงินจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยในกรณีที่ถูกปรับลด Credit Rating ทั้งนี้คงประมาณการกำไรปกติปี 2563 ไว้ที่ 2.72 พันล้านบาท ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนจากยอด Transfer ที่ 364 ไร่

ขณะเดียวกันด้วยปัจจัยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น และ Outperform SET เพิ่มขึ้น 3% และเพิ่มขึ้น 13% ในช่วง 1 และ 3 เดือน ตามลำดับ จากปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีความคลี่คลายลง และภาครัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนผ่าน Business Bubble อีกทั้ง ทางฝ่ายประเมินว่ายอด presale ที่ดินจะเริ่มเห็นความชัดเจน และดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2563 ตลอดจนทางฝ่ายคาดว่าบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ