ทันหุ้น-สู้โควิด : โบรกเกอร์หลายแห่งได้ประเมินปัจจัยพื้นฐานของหุ้นบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ที่คาดว่ากำไรไตรมาส 2/63 จะดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน และยังมีปัจจัยบวกจากการนำบริษัทย่อย บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) คาดว่ากำไรไตรมาส 2/63 ของ SCC จะอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 31% จากไตรมาสแรกปีนี้และเพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ท่ามกลางผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์, สินค้าฟุ่มเฟือย, สินค้าคงทน
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบสามารถชดเชยได้ด้วยการกระจาย Portfolio ที่หลากหลาย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค, Hygiene, อุตสาหกรรมการแพทย์, E-commerce ที่มีความต้องการใช้สูงขึ้น, บริษัทเลื่อนแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงาน MOC จากไตรมาส 2/63 ไปเป็นไตรมาส 4/63 ทำให้มียอดขายปิโตรเคมีจากการสต็อกสินค้ารองรับแผนปิดซ่อมเดิม
นอกจากนี้ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีสูงขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบ Naphtha ลดลงตามราคาน้ำมัน, ผลิตภัณฑ์กลุ่ม HVA และการสร้าง Solution ให้แก่ลูกค้า ช่วยรักษาเสถียรภาพให้อัตรากำไร และยอดขายการก่อสร้างภาครัฐเดินหน้าต่อเนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณ และไม่มีวันหยุดช่วงสงกรานต์ , ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างแข็งแกร่งจากอุปกรณ์ Renovate บ้าน และยอดขายอสังหาฯ แนวราบที่โดดเด่น 7) รายได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ราคา Naphtha ที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบทำให้คาดว่าจะมีผลขาดทุนสินค้าคงคลัง 750 ล้านบาท หากหักนับเฉพาะกำไรปกติทำได้ 9.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสแรกปีนี้ แต่ละลง 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
หากมองข้ามไปปี 2564 คาดผลประกอบการขยายตัว ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2560 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิด-19 คลี่คลาย และการเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างภาครัฐให้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่การท่องเที่ยว-ส่งออกยังมีอุปสรรคจากต่างประเทศ
ฝ่ายวิจัยบล.หยวนต้าฯ ได้ปรับราคาเหมาะสมเป็น 395.00 บาท จากเดิม 370.00 บาท เพื่อสะท้อนโอกาสการฟื้นตัวในปีหน้า คงคำแนะนำขายทำกำไร จากงบครึ่งปีแรกที่แข็งแกร่ง ทำให้คาดการณืเงินปันผลอยู่ที่ 6.0 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Yield 1.6% , มี Sentiment บวกจากการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ และราคาน้ำมันพักฐาน -3% เป็นบวกต่อผู้ผลิตปิโตรเคมี Naphtha cracker จากความกังวลผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่สูงขึ้นเป็น 12 ล้านราย สูงสุดจากสหรัฐฯ 3 ล้านราย โดยตัวเลขเร่งขึ้นในรัฐ Texas, Florida, California ซึ่งเป็นรัฐที่ใช้น้ำมันเบนซินสูงสุด 1 ใน 5 ของสหรัฐฯ คิดเป็นราว 30% ของทั้งประเทศ
นอกจากนี้จากการนำ SCGP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะช่วยปลดล็อคมูลค่าธุรกิจบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจนขึ้น และมี Pre-emptive rights แก่ผู้ถือหุ้น SCC โดยกระบวนการ Filing ผ่านการอนุมัติจากกลต. ตั้งแต่ 29. พ.ค. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการกำหนดราคา (Roadshow, Book building) เสนอขาย และเข้าซื้อขายใน SET ถ้าเป็นไปตาม Process จะสามารถ IPO ภายใน 12 เดือนนับจาก 29 พ.ค. อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมจากการประเมินสถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ ภาวะตลาดทุน และความเชื่อมั่นนักลงทุนของ SCGP, FA, และ Underwriter
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดไตรมาส 2/63 กำไรสุทธิของ SCC จะอยู่ที่ 9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาสแรก ปัจจัยหนุน คือมาร์จิ้นปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น, มีเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม, ผลประกอบการธุรกิจบรรจุภัณฑ์แข็งแกร่ง โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนที่ไม่รวมไทย, มีกำไรจากสต็อกปิโตรเคมี โดยประเมินไว้ที่ 434 ล้านบาท จากไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุนสต็อก 1.11 พันล้านบาท
แนวโน้มไตรมาส 3/63 ธุรกิจปิโตรเคมียังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะขยับขึ้น ซึ่งในช่วงสเปรดของ HDPE และ PP เทียบกับ Naphtha เพิ่มขึ้น +1% และ +2% ตามลำดับ
แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายทางพื้นฐาน 417 บาท โดยใช้วิธี Sum-of-parts สำหรับปัจจัยที่จะเป็น Catalyst คือ 1) การนำบริษัทย่อย SCGP จดทะเบียนใน SET, 2) การฟื้นตัวของอุปสงค์ซีเมนต์เมื่อผ่อนคลาย Lockdown ทั้งในประเทศและ CLMV, 3) การขยายตัวที่ดีของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน, 4) Valuation ไม่แพง ณ ราคาปัจจุบันมี P/E ปีนี้ 13 เท่า ต่ำกว่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 15 เท่า
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) คาดว่ากำไรสุทธิของ SCC ในไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 8.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25.0% จากไตรมาสแรก โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะไม่มีการปรับค่าชดเชยพนักงาน (2 พันล้านบาท) ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีนี้ เพราะ spread เคมีภัณฑ์ดีขึ้น ปริมาณยอดขาย polyolefin เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามยังคงคำแนะนำขาย และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายครึ่งปีแรกของปี 2564 ที่ 360 บาท คาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลัง จะลดลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากต้นทุน naphtha มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในไตรมาสต่อ ๆ ไป , จะมีการปิดซ่อมบำรุง MOC ในไตรมาส 4/63 คาดว่ารายได้จากเงินปันผลของธุรกิจยานยนต์จะลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และการแพร่ระบาดของโควิด-19 , ธุรกิจที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมประเภทอาคารสูง
บล.โนมูระ พัฒนสิน มีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยต่อผลประกอบการไตรมาส 2/63 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 8,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสแรกปีนี้ จากไม่มีสำรองผลประโยชน์ และคาดว่าดีกว่าที่เคยคาดจากธุรกิจปูนปริมาณขายดีกว่าคาด และมองว่าผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่าคาด นอกจากนี้ SCC ยังมีปัจจัยหนุนในครึ่งปีหลัง ในประเด็นการนำ SCGP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้แนะนำถือ เพื่อรับผลเงินปันผล โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2564 อยู่ที่ 362 บาท
อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม