> SET > SCC

10 กรกฎาคม 2020 เวลา 11:38 น.

ส่องราคาเป้าหมาย SCC หุ้นมีสตอรี่ IPO หนุน

ทันหุ้น-สู้โควิด : โบรกเกอร์หลายแห่งได้ประเมินปัจจัยพื้นฐานของหุ้นบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ที่คาดว่ากำไรไตรมาส 2/63 จะดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน และยังมีปัจจัยบวกจากการนำบริษัทย่อย บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์


บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)  คาดว่ากำไรไตรมาส 2/63 ของ SCC  จะอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 31% จากไตรมาสแรกปีนี้และเพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ท่ามกลางผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์, สินค้าฟุ่มเฟือย, สินค้าคงทน 


อย่างไรก็ตาม ผลกระทบสามารถชดเชยได้ด้วยการกระจาย Portfolio ที่หลากหลาย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค, Hygiene, อุตสาหกรรมการแพทย์, E-commerce ที่มีความต้องการใช้สูงขึ้น, บริษัทเลื่อนแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงาน MOC จากไตรมาส 2/63  ไปเป็นไตรมาส 4/63  ทำให้มียอดขายปิโตรเคมีจากการสต็อกสินค้ารองรับแผนปิดซ่อมเดิม 


นอกจากนี้ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีสูงขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบ Naphtha ลดลงตามราคาน้ำมัน, ผลิตภัณฑ์กลุ่ม HVA และการสร้าง Solution ให้แก่ลูกค้า ช่วยรักษาเสถียรภาพให้อัตรากำไร และยอดขายการก่อสร้างภาครัฐเดินหน้าต่อเนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณ และไม่มีวันหยุดช่วงสงกรานต์ , ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างแข็งแกร่งจากอุปกรณ์ Renovate บ้าน และยอดขายอสังหาฯ แนวราบที่โดดเด่น 7) รายได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ราคา Naphtha ที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบทำให้คาดว่าจะมีผลขาดทุนสินค้าคงคลัง 750 ล้านบาท หากหักนับเฉพาะกำไรปกติทำได้ 9.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสแรกปีนี้ แต่ละลง 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 


หากมองข้ามไปปี 2564 คาดผลประกอบการขยายตัว  ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2560 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิด-19  คลี่คลาย และการเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างภาครัฐให้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่การท่องเที่ยว-ส่งออกยังมีอุปสรรคจากต่างประเทศ  


ฝ่ายวิจัยบล.หยวนต้าฯ ได้ปรับราคาเหมาะสมเป็น 395.00 บาท จากเดิม 370.00 บาท เพื่อสะท้อนโอกาสการฟื้นตัวในปีหน้า คงคำแนะนำขายทำกำไร  จากงบครึ่งปีแรกที่แข็งแกร่ง ทำให้คาดการณืเงินปันผลอยู่ที่ 6.0 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Yield 1.6% , มี  Sentiment บวกจากการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ และราคาน้ำมันพักฐาน -3% เป็นบวกต่อผู้ผลิตปิโตรเคมี Naphtha cracker จากความกังวลผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่สูงขึ้นเป็น 12 ล้านราย สูงสุดจากสหรัฐฯ 3 ล้านราย โดยตัวเลขเร่งขึ้นในรัฐ Texas, Florida, California ซึ่งเป็นรัฐที่ใช้น้ำมันเบนซินสูงสุด 1 ใน 5 ของสหรัฐฯ คิดเป็นราว 30% ของทั้งประเทศ 


นอกจากนี้จากการนำ SCGP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะช่วยปลดล็อคมูลค่าธุรกิจบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจนขึ้น และมี Pre-emptive rights แก่ผู้ถือหุ้น SCC โดยกระบวนการ Filing ผ่านการอนุมัติจากกลต. ตั้งแต่ 29. พ.ค. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการกำหนดราคา (Roadshow, Book building) เสนอขาย และเข้าซื้อขายใน SET ถ้าเป็นไปตาม Process จะสามารถ IPO ภายใน 12 เดือนนับจาก 29 พ.ค. อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมจากการประเมินสถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ ภาวะตลาดทุน และความเชื่อมั่นนักลงทุนของ SCGP, FA, และ Underwriter 


บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)  คาดไตรมาส 2/63 กำไรสุทธิของ SCC จะอยู่ที่ 9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาสแรก ปัจจัยหนุน คือมาร์จิ้นปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น,  มีเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม, ผลประกอบการธุรกิจบรรจุภัณฑ์แข็งแกร่ง โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนที่ไม่รวมไทย, มีกำไรจากสต็อกปิโตรเคมี โดยประเมินไว้ที่ 434 ล้านบาท จากไตรมาส 1/63   ที่ขาดทุนสต็อก 1.11 พันล้านบาท 

         

 แนวโน้มไตรมาส 3/63  ธุรกิจปิโตรเคมียังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะขยับขึ้น ซึ่งในช่วงสเปรดของ HDPE และ PP เทียบกับ Naphtha เพิ่มขึ้น +1% และ +2% ตามลำดับ

          

แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายทางพื้นฐาน 417 บาท โดยใช้วิธี Sum-of-parts สำหรับปัจจัยที่จะเป็น Catalyst คือ 1) การนำบริษัทย่อย SCGP จดทะเบียนใน SET, 2) การฟื้นตัวของอุปสงค์ซีเมนต์เมื่อผ่อนคลาย Lockdown ทั้งในประเทศและ CLMV, 3) การขยายตัวที่ดีของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน, 4) Valuation ไม่แพง ณ ราคาปัจจุบันมี P/E ปีนี้ 13 เท่า ต่ำกว่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 15 เท่า  


บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)  คาดว่ากำไรสุทธิของ SCC ในไตรมาส 2/63  อยู่ที่ 8.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25.0% จากไตรมาสแรก  โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน  เพราะไม่มีการปรับค่าชดเชยพนักงาน (2 พันล้านบาท) ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีนี้  เพราะ spread เคมีภัณฑ์ดีขึ้น ปริมาณยอดขาย polyolefin เพิ่มขึ้น 


อย่างไรก็ตามยังคงคำแนะนำขาย และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายครึ่งปีแรกของปี 2564  ที่ 360 บาท คาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลัง จะลดลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากต้นทุน naphtha มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในไตรมาสต่อ ๆ ไป , จะมีการปิดซ่อมบำรุง MOC ในไตรมาส 4/63   คาดว่ารายได้จากเงินปันผลของธุรกิจยานยนต์จะลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และการแพร่ระบาดของโควิด-19 , ธุรกิจที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมประเภทอาคารสูง


บล.โนมูระ พัฒนสิน   มีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยต่อผลประกอบการไตรมาส 2/63 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 8,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสแรกปีนี้ จากไม่มีสำรองผลประโยชน์ และคาดว่าดีกว่าที่เคยคาดจากธุรกิจปูนปริมาณขายดีกว่าคาด และมองว่าผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่าคาด นอกจากนี้ SCC ยังมีปัจจัยหนุนในครึ่งปีหลัง ในประเด็นการนำ SCGP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้แนะนำถือ เพื่อรับผลเงินปันผล โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2564 อยู่ที่ 362 บาท    

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก
https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก
https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก
https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก
https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก
https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก
https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก
https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X