ทันหุ้น –สู้โควิด –บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง AEONTS ว่าบริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1QFY21 ที่ 530 ล้านบาท (-46% YoY, -50% QoQ) สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 266 ล้านบาท และเราคาดที่ 318 ล้านบาท โดยเป็นผลของ 1) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำกว่าคาด 153 ล้านบาท โดยลดลง -9% YoY, -11% QoQ จากค่าเช่าสาขา -47% YoY ที่บริษัทได้รับการยกเว้นในช่วงที่มีการปิดสาขาในห้าง (บริษัทปิดสาขาในห้าง 70แห่งจากทั้งหมด 104 แห่ง) และค่าใช้จ่ายพนักงาน -17% YoY ตามแผนการลดจำนวนพนักงานตามหนี้ที่ประสิทธิภาพต่ำภายหลังที่บริษัทได้ปรับเปลี่ยนระบบการติดตามหนี้เป็น Pooling ตั้งแต่ 3QFY20และ

2) ส่วนแบ่งของผู้ไม่มีอำนาจควบคุม (Non-controlling interest) ที่พลิกกลับเป็นขาดทุน -75 ล้านบาท จากปกติกำไร 30-40ล้านบาท/ไตรมาสในปีก่อน โดยเป็นผลของค่าใช้จ่ายสำรองฯที่ปรับเพิ่มขึ้นตาม Management overlay เพื่อรองรับผลกระทบ COVID-19ในบริษัทย่อย CLMV

ในขณะที่ผลการดำเนินงานด้านอื่นเป็นไปตามที่เราคาด โดย 1) สินเชื่อทรงตัวที่ +4% YoY, -2% QoQ ตามยอดการใช้จ่ายผ่านบัตร และการปล่อยสินเชื่อใหม่ลดลง -27% YoY ภายหลังที่มีการ lock-down ทั้งใน และนอกประเทศเดือน มี.ค.-พ.ค., 2) ค่าใช้จ่ายสำรองเพิ่มขึ้น +72% YoY, +28% QoQ หรือคิดเป็น credit cost ที่ 1073 bps (1QFY20 = 666 bps, 4QFY20 = 833 bps) จากการที่บริษัทตั้งสำรอง Management overlay 1,016 ล้านบาท, 3) NPL ทรงตัวที่ 3.7% (1QFY20 = 2.8%, 4QFY20 = 3.7%) จากการจัดชั้นลูกหนี้ที่บริษัทช่วยเหลือเป็น Stage 1ตามมาตรการผ่อนผันของ ธปท. ทำให้ 4) Coverage ratio เพิ่มขึ้นเป็น 359% ทั้งนี้บริษัทได้ปรับสำรองฯส่วนขาด ณ วันต้นงวดเข้ากำไรสะสม 7.07 พันล้านบาท

คงประมาณการกำไรปกติ FY2021E ที่ 2.72 พันล้านบาท (-21% YoY) จาก 1) สินเชื่อที่ขยายตัว 2.9% YoY หนุนโดยการใช้จ่ายผ่านบัตร และยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ที่เริ่มกลับมาดีขึ้นในเดือน มิ.ย. ที่ +8.5% MoM (หรือ -35% YoY ซึ่งลดลงน้อยกว่าเดือน เม.ย. ที่ -50% YoY) ภายหลังการทยอยคลาย lock-down ในประเทศ รวมทั้งได้รับผลบวกจากการที่บริษัทจะพิจารณาการปรับวงเงินชั่วคราวเป็นรายกรณี (จาก 1.5 เท่าเป็น 2.0 เท่าในช่วง ส.ค. 2020 - ธ.ค. 2021 สำหรับลูกหนี้ที่เงินเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท),

2) NPLs จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.8% จาก FY2020 อยู่ที่ 3.7% จากความสามารถในการจ่ายชำระที่ต่ำ เนื่องจากลูกหนี้บริษัทมีฐานเงินเดือนเทียบเท่ารายได้ขั้นต่ำที่ 15,000 บาท และบริษัทมีสัดส่วนลูกหนี้ที่จ่ายขั้นต่ำสูงที่ 75% และ 90% สำหรับบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ตามลำดับ,

3) Loan yield ปรับลดลงเป็น 22.4% จากปีก่อน 23.6% ตามการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ส.ค. 2020,

4) Credit cost เพิ่มขึ้นเป็น 830 bps จากปีก่อนที่ 771 bps ตาม NPLs ที่เพิ่มขึ้น และความเข้มงวดในการตั้งสำรองฯที่สูงขึ้น

และ 5) Cost to income ที่ 48% (สูงกว่า 1QFY21 ที่อยู่ 43%) เนื่องจากเราประเมินว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพิ่มในช่วง 2HFY21E เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงจากเพดานดอกเบี้ยที่ปรับลด 2-3%รวมทั้งค่าใช้จ่ายสาขาที่จะกลับมาระดับปกติ

ด้านผลการดำเนินงาน 2QFY20E คาดจะหดตัว YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากการใช้จ่ายผ่านบัตรที่กลับมาดีขึ้นภายหลังที่มีปลดล็อคเคอร์ฟิว และค่าใช้จ่ายสำรองฯที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงจากการตั้ง Management overlay ที่สูงใน 1QFY21

ราคาเป้าหมาย 120.00 บาท อิง FY2021E PBV = 1.6x (-1.0SD below 5-yr average PBV) โดย AEONTS มีความเสี่ยงจาก loan yield ที่ต่ำลงเป็น 22% จากเดิม 24% ภายหลังการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมตั้งแต่ ส.ค. 2020 สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตลงเป็น 16% (จาก 18%) และสินเชื่อส่วนบุคคลลงเป็น 25% (จาก 28%) ทั้งนี้เราประเมินว่าผลการดำเนินงานในระยะยาวจะขยายตัวในอัตราที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ และ FY2022E ROAE ลดลงเป็น 13% จากอดีตที่ประมาณ 20-21%

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1