ทันหุ้น – สู้โควิด –อย่าลืมเพิ่มทุน MINT 17 – 23 ก.ค.นี้ กูรูเปิดเหตุผลทำไมต้องควักเงินเพิ่มทุน ระบุเป็นโอกาสซื้อหุ้นโรงแรมขนาดใหญ่ราคาต่ำสุดในรอบ 15 ปี ฐานลูกค้ากว่า 70% ในยุโรป เชื่อระยะยาวธุรกิจท่องเที่ยวโตแกร่งขาดทุนปีนี้ ปีหน้าพลิกกำไรโต 104% เชิงพื้นฐานแนะ “ทยอยสะสม” เป้า 28.75 บาท

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กำหนดวันจองซื้อและชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นสามัญออกใหม่ (Right Offering: RO) จำนวน 563.29 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 17 – 23 กรกฏาคม 2563 ราคาเพิ่มทุนที่ 18.90 บาทต่อหุ้น สัดส่วนหุ้นสามัญเดิม 8.2 หุ้นต่อ 1 หุ้นสามัญออกใหม่ โดยบริษัทยังไม่ได้ประกาศวันขึ้นเครื่องหมาย XW (Excluding Warrant) ไม่ได้รับสิทธิซื้อหลักทรัพย์แปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ

นายศุภชัย วัฒนวิเทศกุล นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ การที่ราคาหุ้น MINT เคลื่อนไหว "Laggard" หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลต่อการประกาศเพิ่มทุน MINT เบื้องต้นฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่า การเพิ่มทุนในสัดส่วน 8.2:1 ทำให้มีกำไรต่อหุ้นปรับลด (EPS Dilution) ราว 11% และราคาหุ้นลดลง ในทางเดียวกัน

หากเพิ่มทุนสำเร็จ MINT จะได้เงินราว 1 หมื่นล้านบาท เมื่อบวกกับหุ้นกู้คล้ายทุน (Perpetual bond) อีกราว 1 หมื่นล้านบาท จะช่วยเพิ่มเงินสดกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท ทำให้ฐานทุนของ MINT กลับมาแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะทำให้บริษัทผ่านวิกฤติครั้งใหญ่ไปได้ไม่ต้องเพิ่มทุนอีกรอบ

ฝ่ายวิเคราะห์คงมุมมองเชิงบวกต่อ MINT แม้ระยะสั้นกำไรยังถูกกดดันหนักจากวิกฤติโควิด-19 แต่เป็นเหตุการณ์ไม่ปกติในปี 2563 และผลประกอบการทยอยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในงวดไตรมาส 2/2563 จากปัจจัยหนุน 3 ประการคือ 1.โรงแรมในกลุ่ม NH มีฐานลูกค้าในทวีปยุโรปที่แข็งแกร่งกว่า 70% ซึ่งพร้อมจะทยอยฟื้นตัวตามวิกฤติไวรัสที่คลี่คลายลง,  2.MINT เป็นผู้ประกอบการที่มีฐานโรงแรม-ร้านอาหารอยู่ทั่วโลก, และ 3.ภาพระยะกลางถึงยาวอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังแข็งแกร่งตามความต้องการเดินทางของประชากรทั่วโลก

ใส่เงินดีไหม

ผลงานตั้งแต่ปี 2531 หรือกว่า 32 ปี พบว่า MINT สร้างการเติบโตได้โดดเด่นกว่าผู้เล่นในกลุ่มโรงแรมรายอื่น ทั้งในแง่ของการเติบโตรายได้และ EBITDA ขณะที่ผลการดำเนินงาน 5 ปีหลังสุด (2558-2562) ก่อนเกิดโควิด-19 MINT มีรายได้รวมโต 170% และ EBITDA โต 50% และเมื่อเผชิญวิกฤติผู้บริหารตันสินใจปรับลดรายจ่ายองค์กรอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จ ทำให้บริษัทฯได้โอกาสลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น

“ผู้บริหาร MINT เข้าใจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการเป็นอย่างดี และมีความกล้าที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ไม่จำเป็นเพื่อความอยู่รอดของกิจการ ซึ่งเชื่อว่าจะสะท้อนออกมาในช่วงที่อุตสาหกรรมฟื้นตัว ทำให้ MINT ฟื้นตัวเด่นกว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน”

ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2563 – ไตรมาส 3/2563 ว่า MINT จะขาดทุนอีก 8 พันกว่าล้านบาท อย่างไรก็ตามธุรกิจโรงแรมได้ทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2563 ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่เปิดแล้วตามการเปิดห้างในไทยหนุนศักยภาพการทำกำไรทยอยฟื้นตัวในงวดไตรมาส 4/2563 พร้อมประเมินภาพรวมทั้งปี 2563 จะขาดทุนปกติที่ 1.2 หมื่นล้านบาท (-18% YoY) แย่ที่สุดในรอบ 15 ปี แต่จะเริ่มกลับไปฟื้นตัวมีกำไรในปี 2564 โดยคาด EBITDA ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท (+104% YoY)

วิกฤติเป็นโอกาส

นายศุภชัย ระบุ ผลการดำเนินงานในระยะ 2 ปีนี้ (2563-2564) ไม่สะท้อนศักยภาพการกำไรที่แท้จริงขององค์กรที่ทำได้ในภาวะปกติเฉลี่ยประมาณ 7 พันล้านบาทต่อปี เบื้องต้นฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า MINT จะประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุน RO รวมถึงการออก Perpetual bond ทำให้บริษัทฯได้เงินสดเพิ่มราว 2.2 หมื่นล้านบาท และคาดว่าบริษัทฯได้รับเงินสดจากการแปลง W-7 ราว 5.3 พันล้านบาทในปี 2564 ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งรองรับภาวะวิกฤติได้ในระยะยาว

เชิงกลยุทธ์ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วเพิ่มทุน ขณะที่นักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นแนะนำ “ทยอยสะสม” อิงราคาเหมาะสมที่ 28.75 บาท ด้วยการประเมินมูลค่าเหมาะสมของ MINT ในปี 2564 หรือเป็นปีแรกที่ผลประกอบการฟื้นตัวแต่ยังไม่เต็มศักยภาพ อิง EV/EBITDA ที่ค่าเฉลี่ยในอดีตหลังปรับลดผลของมาตราฐานบัญชีที่ทำให้ D&A สูงผิดปกติแล้ว ที่ 31.89 บาทต่อหุ้น แล้ว Discount กลับมาที่ 13%