ทันหุ้น-สู้โควิด- เจาะลึกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทนวิกฤตได้แค่ไหน ใส่สูตรทำ STRESS TEST พบ BBL แกร่งสุด ฐานทุนหนารองรับหนี้เสียได้ถึง 13.7% โอกาสรอดสูง ขณะที่ TMB แย่สุด ต้องพยายามกดหนี้เสียอย่าให้เกิน 5% ด้าน LHFG – SCB – TISCO เข้าเกณฑ์รอดสบายๆ ด้านขุนคลัง ระบุไม่กังวลกับหนี้เสีย พร้อมเจรจาแบงก์ชาติหามาตรการเสริม

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ไม่กังวลเกี่ยวกับภาวะหนี้เสีย (NPL) เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยืนยันว่าสถานะของธนาคารพาณิชย์ยังมีความแข็งแกร่ง ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์เองต่างยืนยันว่ายังไม่มีปัญหาเรื่องหนี้เสีย เพราะมีการดูแลฐานะการเงินอย่างใกล้ชิด มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) อยู่ในระดับที่สูง โดยหนี้เสียที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ใช่จากตัวธุรกิจที่ไม่ดี เมื่อเศรษฐกิจเริ่มผ่อนคลายไปตามขั้นตอนที่รัฐบาลวางไว้ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ทั้งนี้ได้หารือร่วมกับ ธปท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจำเป็นต้องมีมาตรการอื่นเข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป

นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการ สมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ปัจจุบันยังไม่มีปัญหา เชื่อมั่นว่าตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวในการบริหารจัดการ การบริหารความเสี่ยงค่อนข้างมาก ฉะนั้นด้วยพื้นฐานของธนาคารพาณิชย์ถือว่ามีความแข็งแกร่งพอสมควร เห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุนของธนาคารสูงกว่าธปท.กำหนดมาโดยตลอด ทั้งยอมรับว่า หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ มองว่าอาจจะไม่ได้ส่งผลมากนัก ต้องกลับมาดูว่าทุกฝ่ายจะทำร่วมกันอย่างไรเพื่อลดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนในอนาคต

@ BBLแกร่งรับNPLได้ถึง13.7%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า จากการทำการศึกษาในแต่ละธนาคารว่าจะฐานทุนที่มีอยู่จะสามารถรองรับความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของ NPLs ได้เท่าไร พบว่า BBL เป็นธนาคารที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดสามารถรองรับ NPLs ที่จะเพิ่มขึ้นได้เป็น 13.7% จากไตรมาส 1/2563 ที่ 3.5% รองลงมาเป็น LHFG ที่ 12.8% จากไตรมาส 1/2563 ที่ 2.0% อันดับ 3 คือ SCB รับ NPLs ได้ 10.7% จากไตรมาส 1/2563 ที่ 3.2% อันดับ 4 TISCO รับ NPLs ได้ 9.9% จากไตรมาส 1/2563 ที่ 2.6% อันดับ 5 KBANK รับ NPLs ได้ 9% จากไตรมาส 1/2563 ที่ 3.9% อันดับ 6 KTB รับ NPLs ได้ 8.5% จากไตรมาส 1/2563 ที่ 4.4%

ส่วนธนาคารที่รองรับ NPLs ได้น้อยที่สุดคือ TMB สามารถรองรับ NPLs ที่จะเพิ่มขึ้นได้เป็น 5% จากไตรมาส 1/2563 ที่ 2.8% และ KKP ที่ 6.3% จาก ไตรมาส 1/2563 ที่ 3.7% ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพอร์ตสินเชื่อส่วนใหญ่ให้ LTV ในระดับต่ำ

ขณะที่กำไรสุทธิปี 2563 มี downside จากการปรับลด GDP ลง ส่งผลให้การตั้งสำรองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น +4% เมื่อเทียบ SET ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพราะ valuation ปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PBV เพียง 0.4-0.5

ยังชอบ BBL มากที่สุด (ราคาเป้าหมายที่ 130.00 บาท อิง  PBV ที่ 0.56x ในปี 2563 , เทียบเท่า -2SD below 10-yr average PBV) เพราะมีความเสี่ยงต่ำและมีความต้านทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ดี ประกอบกับได้ประโยชน์โดยตรงจากสินเชื่อรายใหญ่ที่จะกลับมาเติบโตได้โดดเด่น และเรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อการซื้อธนาคาร PT Bank PermataTbk

@TMBแย่สุดหากNPLพุ่ง

ด้านธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้อำนวยการ Equity Derivative บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุว่า ทางฝ่ายวิจัยได้มีการทำ stress test ด้วยการใส่สมมุติฐาน NPLs เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2563 อีก 8% สำหรับ 7 แบงก์ ซึ่งจะส่งผลให้ NPLs ขึ้นไปสูงราว 10-12%ของสินเชื่อ พบว่า BBL ได้รับผลกระทบในเชิงของมูลค่าทางบัญชี(BV)น้อยสุดคือ -8.4% เนื่องจากตั้งสำรองสูง รองลงมาคือ SCB กระทบ BV -13.5% เนื่องจากมีฐานทุนจากเงินที่ขายไทยพาณิชย์ประกันชีวิต อันดับ 3 เป็น TISCO กระทบ -14.5%  KBANK กระทบ -15.5%  ตามมาด้วย KTB กระทบ -18.5% KKP กระทบ -21.1% และสุดท้ายคือ TMB กระทบ -30.4%

อย่างไรก็ดีกรณีดังกล่าวเป็นการใส่ NPLs ที่ค่อนข้างสูง และไม่ได้ปรับน้ำหนักให้เท่าๆ กัน ซึ่งนักลงทุนต้องเข้าใจว่านี่คือการดำเนินสมมุติฐานที่เลวร้าย และที่สำคัญไม่ได้นับมูลค่าของหลักประกันที่จะเอามาขายเช่นรถยนต์ที่ TISCO และ KKP จะได้มูลค่าสิ่งที่ซึ่งจะต้องบวกกลับไป อย่างไรก็ดีเชิงกลยุทธ์นั้นจะพบว่า BBL ยังคงปลอดภัยสุดได้รับผลกระทบน้อย แต่ TMB จะได้รับผลกระทบเยอะสุด