ทันหุ้น-สู้โควิด- บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือSCBS ระบุว่าราคาหุ้นโรงกลั่นน้ำมันไทยปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 47-88% จากจุดต่ำสุดในเดือนมี.ค. 2563 สู่ระดับก่อนราคาน้ำมันร่วงแรง สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ที่จะช่วยสนับสนุนให้อุปสงค์ฟื้นตัว นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังบ่งชี้ถึงกำไรจากสต๊อกน้ำมันใน 2Q63 เทียบกับขาดทุนจำนวนมากในไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าธุรกิจหลักจะยังคงเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจาก market GRM ลดลง QoQ อย่างต่อเนื่อง แม้จะได้รับการชดเชยบางส่วนจาก crude premium ที่ลดลง ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มอะโรเมติกส์ยังคงอ่อนแอ เราเชื่อว่าผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มดีขึ้นสะท้อนในราคาหุ้นไปค่อนข้างมากแล้ว แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP (เพราะต้นทุนแข่งขันได้) และ BCP (หุ้น laggard ในกลุ่มโรงกลั่น)

ผลการดำเนินงานน่าจะทำจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q63 ผลการดำเนินงานโดยรวมของผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันไทยปรับตัวแย่ลงอย่างมากสู่ขาดทุนจำนวนมากถึง 4.19 หมื่นลบ. ใน 1Q63 หลักๆ เกิดจากขาดทุนสต๊อกน้ำมัน >3.5 หมื่นลบ. หลังจากราคาน้ำมันลดลง >US$40/bbl จากสิ้นปี 2562 market GRM ก็ลดลง 17% QoQ สู่ <US$1/bbl เพราะ crack spread ของผลิตภัณฑ์ทุกประเภท หลักๆ คือ น้ำมันเบนซิน และน้ำมันอากาศยาน ปรับตัวลดลง มีเพียงน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำ (LSFO) ที่ช่วยสนับสนุน market GRM ใน 1Q63

2Q63 จะยังคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก market GRM เฉลี่ยปรับตัวลดลงอีกสู่ระดับเกือบศูนย์ โดยเกิดจาก crack spread ที่แคบลงของผลิตภัณฑ์ที่สำคัญทุกประเภท ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันส่วนใหญ่เปลี่ยนมาผลิตน้ำมันดีเซล (แทนน้ำมันอากาศยาน) มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากความต้องการเดินทางทางอากาศที่ลดน้อยลงในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้ crack spread ของน้ำมันดีเซลลดลงจาก US$11/bbl ใน 1Q63 สู่ <US$6/bbl ใน 2Q63TD สัดส่วนผลผลิตน้ำมันอากาศยานปรับลดลงจาก 12-15% ของผลผลิตทั้งหมดใน 1Q63 สู่ <10% 

ใน 2Q63TD crack spread ของน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำก็ลดลง 46%QoQ สู่ US$7.5/bbl

ทั้งนี้ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันได้เพิ่มผลผลิต LSFO ให้มากที่สุดเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ที่สูงขึ้นจากมาตรการควบคุมกำมะถันของ IMO มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้ความต้องการขนส่งสินค้าปรับตัวลดลง การคลายล็อกดาวน์ช่วยสนับสนุนให้ market GRM ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะหลังนี้ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะมองบวก เนื่องจากสินค้าคงคลังอยู่ในระดับสูงและจำเป็นต้องระบายออกมา ประกอบกับมีโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งกลับมาดำเนินงานหลังจากหยุดซ่อมบำรุงในเดือนเม.ย.

Crude premium ที่ลดลงจะช่วยสนับสนุนอัตรากำไรใน 2Q63 ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันไทยจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบชนิดเบาที่ลดลงหลังจากซาอุดิอาระเบียลดราคาลงเพื่อให้ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม Figure 2 แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบ Arab Light ในปัจจุบันถูกขายออกไปที่ราคา discount US$4/bbl จากราคาน้ำมันดิบดูไบ เทียบกับ premium US$4/bbl ก่อนราคาน้ำมันร่วงแรง แต่จะได้รับการชดเชยบางส่วนจากอัตราค่าระวางที่สูงขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากความต้องการถังเก็บน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในช่วงที่อุปสงค์อ่อนแอ

TOP และ BCP เป็น top pick ของกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ในขณะที่เราเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสะท้อนความคาดหวังค่อนข้างสูงที่ตลาดมีต่อผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP และ BCP โดยคาดว่า TOP จะยังสามารถทำกำไรได้ในปี 2563 ท่ามกลางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอ เพราะบริษัทมีต้นทุนเงินสดที่แข่งขันได้ อีกทั้งผลการดำเนินงานยังจะได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจโรงไฟฟ้าด้วย นอกจากนี้เราก็ชอบ BCP เพราะ valuation ไม่แพง โดยราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PBV ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเพียง 0.2 เท่า ซึ่งต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของหุ้นโรงกลั่นที่ 0.6-0.8 เท่า กำไรของ BCP ยังได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจการตลาดด้วย

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1