ทันหุ้น – สู้โควิด – BEMผนึก CK และพันธมิตรลุยประมูลโครงการรัฐเพียบ รถไฟฟ้าหลายสาย บุกต่างจังหวัด รางคู่ รับปีนี้รายได้ลดลง 15% แต่ด้วยฐานต่ำดันปีหน้าผลงานพุ่งกว่า 20% ชี้ปีหน้าผู้ใช้รถไฟฟ้ากลับมาแตะ 4.5 แสนคน ผลเปิดเดินรถไฟฟ้าหลายสายช่วยส่งต่อผู้โดยสารเข้าระบบ เล็งออกหุ้นกู้ 3 พันล้านบาท

ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEMระบุว่าแม้รายได้-กำไรสุทธิรวมทั้งปี 2563 จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 แต่ BEM ยังมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง มีความพร้อมเข้าร่วมประมูลโครงการซึ่งรัฐบาลจะทยอยเปิดประมูลช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป เนื่องจากบริษัทมี บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CKเป็นผู้ถือหุ้น แล้วยังมีพันธมิตรที่พร้อมให้การสนับสนุนทั้งธนาคารพาณิชย์ที่พร้อมจะให้การสนับสนุนด้านการเงิน อาทิ ซีเมนส์ ญี่ปุ่น อิตาลี

โดยโครงการเป้าหมายของบริษัท ประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) และสัญญางานระบบรถไฟฟ้า การจัดขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาทั้งเส้นทางตั้งแต่ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะเวลาเดินรถ 30 ปี

2.รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ), 3.รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย, และ 4.รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล (แคราย-ลำสาลี) รวมถึงแผนที่จะขยายโครงการระบบรถไฟฟ้าออกไปจังหวัดขนาดใหญ่ อาทิเชียงใหม่, ภูเก็ต, และขอนแก่น, การขยายโครงการรถไฟทางคู่ ฯลฯ ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะดำเนินโครงการในลัษณะการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หมายถึง การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) ซึ่งทาง BEM ก็จะจะร่วมกับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK

ทั้งนี้ยอมรับว่า ผลการดำเนินงานปี 2563 ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 รวมถึงมาตรการล๊อกดาวน์ช่วงเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา เบื้องต้นคาดการณ์รายได้รวมทั้งปี 2563 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ปรับตัวลดลง 15%เมื่อเทียบกับปี 2562 (YoY) ที่ทำได้ 1.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ทำได้ 3 พันล้านบาท

“ครึ่งแรกเราได้รับผลกระทบทั้งล๊อกดาวน์ และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทำให้พื้นที่รองรับภายในรถไฟฟ้าหายไป 3-4 เท่า หมายถึง capacity หายไป 75% แต่บริษัทจะนำรถไฟฟ้าออกมาวิ่งเต็มที่ เพื่อรองรับในช่วงพีคเวลาเช้าและเย็น เบื้องต้นคาดว่าจำนวนผู้โดยสารเริ่มกลับมามากขึ้นในไตรมาส 4/2563 บนสมมติฐานว่าไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะที่ผลงานธุรกิจทางด่วนเราจะฟื้นตัวได้ก่อน โดย ณ ไตรมาส 3/2563 ปริมาณรถน่าจะกลับสู่ภาวะปกติที่ 1 ล้านคันต่อวันได้”

ขณะเดียวกันบริษัทมีกำหนดจะปรับขึ้นอัตราค่าโดยสาร ตามสัญญาให้ปรับทุก 2 ปี ตามดัชนีผู้บริโภค (CPI) โดยรอบนี้จะปรับขึ้น 1 บาท ในบางสถานี ในวันที่ 3 กรกฏาคม 2563 ขณะที่อัตราค่าโดยสารต่ำสุด-สูงสุดยังอยู่ที่ 16-42 บาท แต่ในช่วงวิกฤติ ทางบริษัทจึงจัดโปรโมชั่นคงอัตราค่าโดยสารไว้ที่ระดับเดิม เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้โดยสาร

มั่นใจปีหน้าผลงานโตกระโดด

ดร.สมบัติ คาดว่าในปี 2564 จำนวนผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้าจะกลับขยายตัวในอัตราปกติที่ 4.5 แสนคนต่อเที่ยว ต่อวัน โดยมีปัจจัยหนุนคือการเปิดให้บริการเดินรถสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-คูคต) ในปลายปี 2563 จะช่วยผลักดันให้ผู้โดยสารเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้ามากขึ้น นอกจากนี้จะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่จะเปิดเดินรถปลายปี 2564 ก็จะช่วยสนับสนุนตัวเลขผู้โดยสารให้เติบโตมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจทางด่วนน่าจะยังคงขยายตัวได้ประมาณ 1-3% จากปัญหาการจราจรในเขตเมือง ทำให้คาดการณ์ว่า รายได้รวมทั้งปี 2564 น่าจะเติบโตราว 20%

“การขยายตัวของคนในระบบรถไฟฟ้า โตได้ 2 ทางคือการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ ซึ่งจะช่วย “ส่งต่อ” ผู้เดินทางเข้ามาในระบบก็คาดว่าการเปิดเขียวเหนือจะส่วต่อผู้โดยสารเข้าสู่สายสีน้ำเงินได้ประมาณ 1 หมื่นคนต่อวัน อีกทางหนึ่งคือการขยายตัวของพื้นที่โดยรอบสถานี”

เล็งออกหุ้นกู้

ดร.สมบัติ ระบุ ปี 2563 BEM มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนทรวมวงเงินทั้งสิ้น 2.5 พันล้านบาทในเดือนตุลาคม 2563 ดังนั้นจึงมีกำหนดที่จะจะเสนอขายหุ้นกู้ วเงินรวม 3 พันล้านบาท อายุ 4 ปี, 10 ปี, และ 12 ปีให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 500 ล้านบาท โดยในสัปดาห์นี้ (1-5 มิถุนายน 2563) จะกำหนดอัตราดอกเบี้ย และคาดจะเปิดขายในสัปดาห์หน้า (8-12 มิถุนายน 2563) ณ ปัจจุบัน บริษัทมีหุ้นกู้วงเงินรวมทั้งสิ้น 3.8 หมื่นล้านบาท ต้นทุนอัตราดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 3%