ผลจากการคลาย Lockdown เฟส 1-2 ที่สามารถควบคุมผู้ติดเชื้อใหม่ได้ดี แม้มีเพิ่มขึ้นในบางวัน แต่ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ ขณะที่ การติดเชื้อในประเทศและสถานที่ที่คลายล็อคไปแล้ว ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ ศบค. พิจารณาคลายล็อคเฟส 3 ซึ่งครอบคลุมกิจการหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งกลุ่มสีเหลืองและสีแดง เช่น โรงแรม ร้านค้าในห้างที่ยังเปิดไม่ได้ในเฟส 2 (เสริมความงาม ฟิตเนส) สถานที่จัดสัมนา ศูนย์แสดงสินค้า โรงละคร สนามกีฬา ร้านนวด เป็นต้น รวมไปถึงการอนุญาตให้เดินทางข้ามจังหวัด และลดเวลาเคอร์ฟิวเหลือ 23.00-03.00 น. (เดิม 23.00-04.00 น.) ถ้าเป็นไปตามนี้ ก็แทบจะคลายล็อกเกือบทุกกิจกรรม คงเหลือแต่สถานบันเทิงและสนามมวย ที่เป็นกลุ่มต้นทางการแพร่ระบาดระลอกแรก เพราะฉะนั้น การคลายล็อคเฟส 3 จึงสร้าง Sentiment เชิงบวกให้กับ SET INDEX ได้มากกว่าเฟสอื่น ส่วนเฟส 4 ที่จะคลายล็อคกลาง มิ.ย. 63 เราประเมินว่าไม่มีนัยสำคัญ

ถ้าอิงการผ่อนคลายเฟส 1-2 จะเห็นว่า SET INDEX ไม่มี Sell on fact โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มศูนย์การค้าที่ปรับตัวขึ้นเด่น เพราะยังคาดหวังได้ต่อกับการผ่อนคลายเฟส 3 แต่เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจถูกเปิดเกือบหมด ก็แทบไม่เหลือความคาดหวังเชิงบวกที่จะหนุน SET INDEX ปรับตัวขึ้นต่อ ในทางตรงข้าม กลับต้องลุ้นว่าผู้ติดเชื้อใหม่จะเร่งตัวจนเป็นเหตุให้ต้องกลับไป Lockdown และเมื่อเปิดแล้ว กำลังซื้อว่าจะฟื้นตัวได้เร็วเพียงใด ท่ามกลางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ที่อยู่ในช่วงจัดทำแผน (งบประมาณ 4 แสนลบ. จะถูกจัดสรรตามโครงการลงทุนต่างๆตั้งแต่ ก.ค. 63)

โดยถ้าอิงจากประเทศจีนและเกาหลีใต้ที่เปิดกิจกรรมเศรษฐกิจได้ก่อน พบว่า เมื่อจำนวนผู้ติดเชื่อใหม่เร่งตัวขึ้น ตลาดหุ้นทั้ง 2 ประเทศจะเคลื่อนไหว Underperform ภูมิภาค 3-5 วัน ก่อนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเมื่อผนวกกับการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของ SET INDEX (969 จุด เมื่อ 13 มี.ค. 63) มาแล้ว 39% มากกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 25% ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยซึมซับความคาดหวังเชิงบวกไปแล้วพอควร จริงอยู่ว่าเป็นเพราะระบบสาธารณสุขไทยแข็งแกร่ง แต่ต้องไม่ลืมว่าคาดการณ์ GDP2563 ของ ธปท. และ สศช. ที่ -5% ถึง -6% จะทรุดตัวมากสุดในอาเซียน (IMF คาดของไทย -6.7% แย่กว่าอาเซียนที่ -0.7%) ด้วยภาวะที่ร้อนแรงเกินปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยกระตุ้นด้าน Sentiment ที่เหลืออยู่ ทำให้เราคาดว่า SET INDEX จะเกิด Sell on fact หลังประกาศคลายล็อกเฟส 3

ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้ระมัดระวังแรงขายกลุ่มที่ปรับขึ้นเด่นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้แก่ ท่องเที่ยว ขนส่ง ห้างสรรพสินค้า บันเทิง ยานยนต์ และอสังหาฯ โดยให้หมุนเงินมาพักในกลุ่มโรงไฟฟ้า สื่อสาร ค้าปลีก การแพทย์ และนิคมฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ Outperform ในช่วงที่ COVID-19 ระบาดและ Trade War ปะทุ ขณะที่ กลุ่มเกษตรอาหารและเครื่องดื่มที่มัก Outperform ได้เช่นกัน เราไม่ได้เลือกมาแนะนำรอบนี้ เพราะราคาหุ้นหลายตัว ปรับขึ้นไปเท่ากับหรือมากกว่าช่วงก่อน COVID-19 ระบาดแล้ว สำหรับหุ้นที่ยังพอมี Upside ซึ่งเราประเมินว่าใช้พักเงินแล้วปลอดภัยคือ RATCH/ ADVANC/ INTUCH/ DTAC/ DIF/ CPALL/ BCH/ AMATA