> SET > THAI

28 พฤษภาคม 2020 เวลา 08:15 น.

THAIผิดนัดชำระหนี้ ผลกระทบน่าสะพรึง!

ทันหุ้น-สู้โควิด- ศาลรับ THAI ฟื้นฟู ทำให้บริษัทผิดนัดชำระหนี้อัตโนมัติ ด้านทริสลดเรตติ้งสู่ D แล้ว เปิดผลกระทบชัดๆ ใครโดนบ้างทั้งกลุ่มผู้ถือหุ้นหุ้นกู้โดยตรง AEC ต้องหยุดดำเนินการ ขณะที่ บลจ. ลด NAV อัตโนมัติ ด้าน KTB ต้องตั้งสำรอง 6 พันล้านบาท เตือนนักลงทุนอย่าเดิมพันหลังฟื้นฟู เหตุส่วนใหญ่ต้องลดทุน และเพิ่มทุนใหม่ หุ้นที่ถืออยู่อาจจะด้อยมูลค่ามาก


นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า ศาลล้มละลายกลางรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของ THAI  และกำหนดวันไต่สวน ในวันที่ 17 ส.ค.


หากมีเจ้าหนี้คัดค้าน และจะประสานส่งคำร้องให้เจ้าหนี้ ที่มีอยู่มากกว่า 1 ล้านราย แบ่งเป็น เจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้เงินกู้ เจ้าหนี้หุ้นกู้ซึ่งรวมสมาชิกรอยัลออร์คิดพลัสด้วย ส่วนเจ้าหนี้ต่างประเทศ มีทางเลือกว่าจะรับคำร้องโดยเข้ากระบวนการฟื้นฟูของศาลไทย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แนวทางกฎหมายล้มละลายของสหรัฐอเมริกา


ในระหว่างนี้การบินไทยจะมีการเจรจากับเจ้าหนี้นอกศาลก่อน หากเจ้าหนี้พิจารณาผู้ทำแผนแล้วยอมรับก็คงไม่มีการคัดค้าน และให้ส่งแผน อย่างไรก็ตาม หากมีเจ้าหนี้คัดค้าน ก็จะมีการเรียกประชุมเจ้าหนี้โดยเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์


ขณะที่ ทริสเรทติ้ง ได้ลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ THAI ลดลงสู่ระดับ "D" หรือ "Default" หลังจากศาลรับคำร้อง ส่งผลให้บริษัทเข้าสู่สภาวะการพักชำระหนี้ (Automatic Standstill) กับเจ้าหนี้ทุกรายตามกฎหมาย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะประเมินอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอีกครั้งเมื่อบริษัทได้บรรลุข้อตกลงแผนฟื้นฟูกิจการกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด


@ ผลกระทบน่าห่วงทุกกลุ่ม


นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การที่ศาลรับคำร้อง ทำให้ THAI เข้าสู่สภาวะการพักชำระหนี้ กับเจ้าหนี้ทุกรายตามกฎหมาย ซึ่งผู้รับผลกระทบที่เกี่ยวพันกับตลาดเงินตลาดทุนได้แยกเป็นกลุ่ม ประกอบด้วย เจ้าหนี้กลุ่มผู้ถือหุ้นกู้โดยตรง กลุ่มเจ้าหนี้นักลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กลุ่มเจ้าหนี้สถาบันการเงิน กลุ่มผู้ถือหุ้น THAI


สำหรับกลุ่มเจ้าหนี้หุ้นกู้ไทยโดยตรง การที่ THAI ถูกลดเครดิตกะทันหันอาจจะทำให้มี บางบริษัทที่ใช้ THAI เป็นเงินกองทุน หรือ ค้ำประกัน อาจจะเกิดปัญหา อย่างกรณีของ บริษัทหลักทรัพย์เออีซี (AEC) ที่ถูกสั่งระงับการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) และมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) น้อยกว่าหลักเกณฑ์กำหนด อย่าไรก็ดีนักลงทุนที่เทรดผ่าน AEC จะสามารถสั่งขายได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถที่จะซื้อได้


ส่วนกลุ่ม บลจ. นั้นผลจากการผิดนัดชำระหนี้ จะทำให้ NAV ของกองทุนที่ถือหุ้นกู้THAI ลดลงตามสัดส่วนที่ถือคอรงหุ้นกู้เช่น กองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้ THAI 15% NAV ก็จะลดลง 15% ทั้งนี้ บลจ. ต่างๆ ต้องมีการแยกสัดส่วนเงินลงทุนที่อยู่ในหุ้นกู้ THAI ออกมาจากสินทรัพย์อื่นออกมา ขณะที่ผู้ขายหน่วยลงทุนก็จะได้เฉพาะในส่วนการลงทุนอื่นเท่านั้น ซึ่งมองว่า บลจ.หลายแห่งทำแบบนี้ไปล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ ทริส ปรับลดเครดิตจาก A เป็น C


ด้านกลุ่มเจ้าหนี้สถาบันการเงินจำเป็นที่จะต้องตั้งสำรอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการเงินของรับ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคาร EXIM และ ธนาคารกรุงไทยที่จะเกี่ยวพันกับตลาดทุนมากที่สุด โดยยังต้องติดตามว่า KTB ปล่อยกู้ THAI เท่าไหร่ ซึ่งเบื้องต้นจากข่าวมีหนี้อยู่ในระดับ 6-6.5 พันล้านบาท ส่วนจะกระทบกับผลประกอบการหรือไม่ต้องไปติดตามว่า KTB มีการตั้งสำรองหนี้ไว้เกินมากน้อยเท่าไหร่


สำหรับผลกระทบสุดท้าย คือ กลุ่มผู้ถือหุ้น ที่มีโอกาสที่จะถูกไดลูท จากการฟื้นฟู เนื่องจากปกติในการทำแผนฟื้นฟู ผู้ถือหุ้นต้องรับผิดชอบต่อผลประกอบการมากที่สุด ไม่ใช่ว่าจะได้รับประโยชน์จากการลดหนี้หรือปรับเลื่อนคืนเงินต้น เพราะส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูบริษัทนั้นมักจะมีการลดทุน ซึ่งจากกระแสข่าวมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการลดพาร์จาก 10 บาท เป็น 0.01 บาท หรือ มูลค่าพาร์หายไป 1,000 เท่า หากเป็นเช่นนั้นจริงจะส่งผลให้หุ้นจดทะเบียนที่มีอยู่กว่า 26,000 ล้านบาท เหลือเพียง 26 ล้านบาท ประเมินหากต้องใส่เม็ดเงินใหม่เข้ามาอีก 80,000 ล้านบาท นั้นหมายความว่า หุ้น THAI ที่ถือในปัจจุบันทั้งหมดจะมีสัดส่วนแค่ 0.03% เท่านั้น อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับผู้ทำแผนฟื้นฟูว่าจะดำเนินการเช่นไร แต่มองว่าการเข้าไปเก็งกำไรเพื่อหวังถือยาวหลังฟื้นฟูมีความเสี่ยงสูง ไม่แนะนำให้นักลงทุนซื้อเดิมพัน THAI


นายกิจพณ บอกด้วยว่า จากกรณีที่หุ้นกู้ THAI มีปัญหาจะกระทบกับการลงทุนในตราสารหนี้พอสมควร เพราะนักลงทุนขณะนี้มองภาพว่าได้ไม่คุ้มเสีย ได้ดอกเบี้ยเพียง 2-3% แต่มีโอกาสขาดทุน 100%ทำให้เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้าสู่การลงทุนในตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นมากกว่า

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X