รับมือหุ้นไทยพี/อีสูง เข้ายุคเก็งกำไรหนัก

ทันหุ้น-สู้โควิด- เปิดตำรารับมือหุ้นไทยแพง หลังทะยานขึ้นเกิน 1,300 จุด ดึงพีอีปีนี้พุ่งถึง 19 เท่า นักวิเคราะห์ชี้ไม่มีอัพไซด์แล้ว นักวิชาการประเมินภาวะหุ้นจะเหมือนรถไฟเหาะ ด้าน VI ประสานเสียงแนะตัดปัจจัยเฉพาะปีนี้ออกจากการคำนวณ EPS เหตุเป็นปีเดียว หรือดูปีอื่น ดร.นิเวศน์ มองตลาดเข้าสู่การเก็งกำไรหนัก ส่วนเซียนมี่ชี้ผลตอบแทนพันธบัตรต่ำดันเงินเข้าหุ้น

ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 พ.ค.) ทะยานขึ้นปิดที่ 1309 จุด เพิ่มขึ้น 23.42 จุด สูงสุดนั้บตั้งแต่ 9 มีนาคม 2563 พร้อมๆ กับค่าเงินบาทที่ปิดแข็งค่ามากสุดนั้นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ท่ามกลางที่ PE เมื่อเทียบกับกำไรที่บลูมเบริ์กประเมินไว้ที่ 69 บาทในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีพีอีที่สูงถึง 19 เท่า

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า ระดับ SET Index ที่ซื้อขายอยู่เหนือ 1300 จุดนั้นเป็นระดับที่ตึงตัวในแง่ของมูลค่าแล้ว หากอิงกับประมาณการกำไรสุทธิ ( EPS) ของตลาดปีนี้ล่าสุดอยู่ที่ 69.4 บาท ตามสมมติฐาน PE Model ของทรีนีตี้ กรณีแย่สุด 14.6 เท่า จะได้ดัชนีที่เหมาะสม 1010 จุด กรณีฐาน 15.7 เท่า ดัชนีจะอยุ่ที่ 1090 จุด และ กรณีดีสุด 16.8 เท่า ดัชนีควรอยู่ที่ 1170 จุด หากนำมาเทียบเคียงกับดัชนีในปัจจุบันก็จะพบว่าไม่ได้มี Upside แล้ว

ส่วนประมาณการ EPS ปีหน้าที่ 85.3 บาท จะได้ดัชนี SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีคือ 1240, 1340, และ 1430 จุดตามลำดับ ทั้งนี้สำหรับสมมุติฐาน PE Model นั้นได้ประเมินแง่ดีจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะประชุมวันนี้ลง 0.25% ตามนักเศรษฐศาสตร์ในตลาดคาดการณ์ แต่ทางทรีนีตี้ประเมินว่าการประชุมครั้งนี้จะคงดอกเบี้ย เนื่องจาก คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น

@ตลาดเก็งกำไร

นายทวีสุข ธรรมศักดิ์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ เปิดเผยในรายการทันหุ้น ทันเกมว่า ตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเพราะตลาดมีความมั่นใจกับสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับการอัดฉีดเม็ดเงินที่สูงมากของธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก อย่างไรก็ดีในไทยเป็นการเล่นกันเองต่างชาติยังไม่ได้ซื้อ มองว่าตลาดจะผันผวนเหมือนรถไฟเหาะที่ขึ้นแรงลงแรง หากมีข่าวร้ายใหม่ๆ เข้ามาก็จะลงแรง จึงเหมาะกับนักเก็งกำไร และต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง โดยสถานการณ์ที่จะเป็นระเบิดเวลาที่ต้องจับตาคือการกลับมาระบาดรอบ 2 ของโควิดหรือไม่ และสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

ด้าน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนคุณค่า (VI) เปิดเผย "ทันหุ้น" ว่า ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถที่จะนำค่า PE ปีนี้มาประเมินได้ เพราะเศรษฐกิจผิดปกติ ดังนันกำไรของบริษัทจดทะเบียนจึงลดลงไม่ปกติด้วยเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนจะต้องประเมินว่าในอนาคตกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะกลับมาปกติเมื่อไหร่ เช่น ปี 2562 กำไรบจ.อยู่ที่ 80 บาท พีอี 16-17 เท่า หากเราประเมินว่าอีก 2 ปีปกติ และรอได้ก็สามารถถือไปรอเวลานั้นได้

ทั้งนั้นการที่ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่านักลงทุนเห็นว่าส่วนต่างของผลตอบแทนตลาดหุ้น และผลตอบแทนพันธบัตร (Earning Yield gap) ยังห่างกันอยู่ราว 4% ซึ่งก็ถือว่ายังมากพอ ที่นักลงทุนจะรับความเสี่ยงในการลงทุนหุ้น แต่ต้องเลือกหุ้นในเชิงพื้นฐาน อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ตลาดปัจจุบันนี้เป็นตลาดเก็งกำไรเข้ามามากและก็ส่วนใหญ่เป็นการเก็งกำไรหุ้นในประเทศ บางหุ้นที่มีการเพิ่มทุน หรือ กิจการแย่ ก็มีการไปไล่หุ้นเหล่านั้น หรือการนำข่าวการทดลองวัคซีน ซึ่งเป็นการรายงานการทดลองตามปกติ ยังไม่ได้นำออกมาใช้ ไปเก็งกำไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง

@แนะเลือกหุ้นให้คม

นายทิวา ชินธาดาพงศ์ นักลงทุน VI เปิดเผย “ทันหุ้น” ว่า ปีนี้มีหลายเรื่องที่เข้ามากระทบชั่วคราว โดยเฉพาะการขาดทุนสต็อกน้ำมัน ควรจะนำปัจจัยเหล่านี้หักออกจาก EPS ส่วนประเด็นการปิดร้านต่างๆ ก็ควรจะนำเรื่องนี้ไปบวกกลับ ซึ่งส่วนตัวมองว่าปกติแล้ว EPS ของ SET ราว 80 บาท น่าจะทำได้ ซึ่งถ้าประเมินเช่นนี้ก็จะพบว่าปีนี้ PE อยู่แบบกลางๆ ไม่ได้สูงมาก แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือการประเมิน Earning Yield gapที่ควรจะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงจิตวิทยาของนักลงทุนว่าจะทำอย่างไร กับเงินของตน เพราะ Earning Yield gapที่บอกว่าอยู่ราว 5% มีทั้งกรณีที่ผลตอบแทนพันธบัตรสูง พีอีหุ้นต่ำ และผลตอบแทนพันธบัตรต่ำ พีอีหุ้นสูง ซึ่งมองว่า ในช่วงที่ผลตอบแทนพันธบัตรสูง นักลงทุนอาจจะไม่เลือกลงทุนหุ้น แต่กรณีที่ผลตอบแทนพันธบัตรต่ำ นักลงทุนจะกล้าที่จะลงทุนหุ้น

ทั้งนี้นักลงทุนไม่สามารถที่จะคาดการณ์ตลาดได้ ดังนั้นจึงควรใส่ใจตลาดให้น้อย แต่การเลือกหุ้นต้องคม ต้องหาให้ดี ธุรกิจที่รักษากำไรได้ โดยยอมรับว่าการลงทุนหุ้นขณะนี้เป็นฟองสบู่ แต่นักลงทุนไม่ได้กังวลฟองสบู่ กลัวฟองสบู่แตกมากกว่า อย่างไรก็ดีมองว่าตลาดหุ้นไทยได้รีเซ็ทแล้ว ผู้ที่กู้เงินมาลงทุนเริ่มน้อยลง