ทันหุ้น - สู้โควิด - บจ.หลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุถึง LH ว่า บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1Q63ที่ 1.3 พันลบ. แต่หากหักรายการพิเศษ กำไรปกติอยู่ที่ 1.5พันลบ. (-63.0% QoQ, -16.2% YoY) ดีกว่าเราและตลาดคาด 36%จากการ Restate งบการเงินของ LHFG(จากเดิมขาดทุน 709 ลบ. เป็นกำไรสุทธิ 829ลบ.)

รายได้ปกติอยู่ที่ 6.0 พันลบ. (-13.1% QoQ, - 22.7% YoY) จากยอดโอนอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวลง กอปรกับผลกระทบของ COVID-19ต่อธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า

อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.4% (-326bps QoQ, -259bps YoY) ลดลงทั้ง QoQ และ YoY จากการโอนโครงการในที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัท

ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมอยู่ที่ 736ลบ. หดตัวลง 14.2% YoY หลักๆ มาจาก HMPRO ที่หดตัวลงเป็น 1.3 พันลบ. (-11% YoY) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 55% ของส่วนแบ่งกำไรทั้งหมดของบริษัท

อัตราส่วน SG&A/Sales อยู่ที่ 15.5%ปรับตัวเพิ่มขึ้น 203bps QoQ และ 154bps YoY จากฐานรายได้ที่ต่ำลง

บริษัทได้เปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ทั้งสิ้น 3 โครงการรวมมูลค่า 3.8 พันลบ. ใน 1Q63โดยมี Highlight คือ โครงการ Indy Bangna-Ramkhamhaeng 2 (มูลค่า 1.4 พันลบ.) ซึ่งคาดทำ Take-up rate ได้กว่า 60%

LH จะมี Analyst Meeting ในช่วงบ่ายวันนี้

เราคาดผลประกอบการระยะสั้นถูกกดดันจากสถานการณ์ COVID-19และคาด 2Q63 เป็นจุดต่ำสุดของปี อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลประกอบใน 2H63คาดฟื้นตัวโดดเด่นจากการโอนโครงการแนวสูงเสร็จใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 3โครงการ รวมมูลค่า 7.9 พันลบ. ทั้งนี้ LH ยังมีแผนที่จะขายโครงการอพาร์ทเม้นให้เช่าใน USA คาดทำกำไรได้ราว 1.1พันลบ. เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการในช่วง 4Q63

เราคงมุมมองบวกต่อ LH จากธุรกิจแนวราบที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบน ราคาปิดวานนี้เทียบเท่า PER2563 เพียง 9.8เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย่อนหลัง 5 ปีของบริษัทที่ 12.7x) พร้อมคาดเงินปันผลปี 2563และ 2564 ที่ 0.60บาท และ 0.70 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 9.0% และ 10.6%ตามลำดับ