สวัสดีครับท่านผู้อ่านตลาดหุ้นไทยเดือน เม.ย. สถานการณ์ดูดีขึ้น เมื่อตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากปลายเดือนมี.ค. เนื่องจากตลาดมองว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 อาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หลังจำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในอัตราลดลงในยุโรป และสหรัฐฯ นอกจากนี้ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นก่อนการประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 9 เม.ย. ที่คาดว่าจะมีการลดกำลังการผลิต

ด้านมุมมองของผมนั้น แม้ว่า SET ฟื้นตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผมว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าตลาดหุ้นเจอจุดต่ำไปแล้ว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ยังไม่คลี่คลาย และอาจจะกลับมาแพร่ระบาดอย่างมีอัตราเร่งได้ทุกเมื่อ และควรระวังผลกระทบระลอกสองจากตัวเลขเศรษฐกิจที่จะแสดงสัญญาณหดตัว รวมถึงการถูกลดอันดับเครดิตไปจนถึงความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้จากประเทศที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ ซึ่งรวมถึงบริษัทจดทะเบียนในบ้านเราด้วยนะครับ ที่มีมูลหนี้สูงหรือมีปัญหาสภาพคล่อง ผมมองว่ายังเป็นปัจจัยกดดันที่รออยู่ครับนอกจากนี้ มองว่าราคาน้ำมันหลังประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันแล้ว มีโอกาสโดนขายทำกำไรมากกว่าจะปรับขึ้นได้ต่อ เนื่องจาก ผมมองว่าการลดกำลังการผลิตยังไงก็ไม่เพียงพอต่อจำนวนอุปสงค์ที่ลดลงมากจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยราคาน้ำมันดิบ Brent มองกรอบบนจะเริ่มจำกัดบริเวณ 36-40 เหรียญ ดังนั้นให้ระวังแรงขายทำกำไรในกลุ่มน้ำมัน

ด้าน SET มองกรอบบนจะเริ่มจำกัดแถวบริเวณ 1200 จุด หรือบริเวณดังกล่าวให้ระวังแรงขายทำกำไร ส่วนแนวสำคัญอยู่ที่บริเวณ 1250 จุด ซึ่งเป็น Gap ที่เปิดไว้ ซึ่งถ้าหากถูกปิดจะเป็นสัญญาณที่ดีในภาพรวม และ SET มีโอกาสขึ้นไปปิด Gap ถัดไปบริเวณ 1350 จุด เท่ากับตลาดจะเปิดด้าน Upside อีกกว่า 100 จุด อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้ขึ้นทะลุ 1250 จุดก่อนนะครับ ส่วนกรอบล่างอยู่ที่ 1130 จุด หากต่ำกว่าจะเป็นสัญญาณลบ

ดังนั้น ด้านกลยุทธ์การลงทุน ผมจึงยังไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องไล่ขึ้น หรือท่านใดที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามาในพอร์ต ยังไม่ต้องกลัวตกรถ กลยุทธ์การลงทุนยังคงเดิมครับ รออ่อนตัวเพื่อซื้อสะสมเหมือนเดิม ตราบใดที่ SET ยังเป็นเพียงการรีบาวด์ (ไม่ขึ้นทะลุ 1250 จุด) ก็ยังมีโอกาสไหลกลับลงมาหาบริเวณ 1000 จุด อีกครั้ง

โดยหุ้นน่าสนใจเข้าซื้อ ผมแนะนำไปหลายครั้งหลายตัวแล้ว มาครั้งนี้ขอถือโอกาสเอากลุ่มหุ้น Value Stocks ซึ่งฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน SCBS แนะนำให้เข้าซื้อในลักษณะ DCA โดยมีจำนวน 5 ตัว ด้วยกัน ได้แก่

1) AMATA แม้ในระยะสั้นได้รับผลกระทบจากทิศทาง FDI ที่ชะลงตัวลงตามทิศทางเศรษฐกิจโลก แต่ระยะยาวยังมีปัจจัยหนุนจาก นโยบาย China Plus One จะหนุนความต้องการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมเพิ่มภายหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จบสิ้นลง และหุ้นมีมูลค่าน่าสนใจ โดยมูลค่าตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่ดินของบริษัท อีกทั้ง PBV ที่ 0.6 เท่า เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี

2) DIF ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่ำ เนื่องจากมีรายได้ค่าเช่าที่ชัดเจนจาก TRUEและบริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิสูงกว่ามูลค่าตลาด 12%ราคาหุ้นเทรด P/BV ที่ 0.87 เท่า ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 10 เดือน

3) PTTGC คาดกำไรปี 2020 จะปรับตัวดีขึ้นYoY จาก Market GRM ที่ปรับตัวขึ้นจาก Creak spread ของ Gasoil ที่กว้างขึ้น และได้รับประโยชน์จากการขาย LSFO ที่มากขึ้น รวมถึงธุรกิจโอเลฟินจะได้ปัจจัยหนุนจากต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำ เป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีการประเมินมูลค่าหุ้นต่ำที่สุดและต่ำกว่ามูลค่าการชำระบัญชี โดยเทรด P/BV ที่ 0.50 เท่า ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

4) SCC อุปสงค์สินค้าเคมีภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากประเทศจีนเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เบาบางลง และ ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเคมีภัณฑ์และธุรกิจ CBMปัจจุบันเทรด P/BV ที่ 1.23 เท่า ต่ำสุดในรอบ 11 ปี 4 เดือน

5) WHAUP บริษัทมีแผนขยายธุรกิจน้ำตามการขยายนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของ WHA รวมถึงทำสัญญา built-operate-own ระยะเวลา 30 ปีกับ PTT ในโครงการ Central Wastewater Treatment Plant กำลังการผลิต 4 แสนลูกบาศก์เมตร และเตรียมขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มอีก 31 MWeสู่ระดับ 590 MWeในปี 2020 ปัจจุบันเทรด P/BV ที่ 0.96 เท่า เป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมีระดับเงินปันผลน่าสนใจที่ระดับมากกว่า 5% เป็นหุ้นทั้ง 5 ตัวที่น่าช้อนซื้อ และช้อนไม่น่าหัก เนื่องจากมีความน่าสนใจด้านมูลค่าเป็นตัวรองรับ....และพบกันใหม่ฉบับหน้า ด้วยรักและหวังดี