ทันหุ้น-สู้โควิด : ผู้ว่าฯกรุงเทพฯ ประกาศสั่งร้านขายของปิดทุกร้านในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ 24.00-05.00 น. มีผลวันที่ 2-30 เม.ย.นี้ ยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยืนยันยังไม่มีแผนเคอร์ฟิว โบรกประสานเสียงไม่ส่งผลกระทบ CPALL โบรกฯชี้เป็นช่วงผู้ใช้บริการ7-11น้อยอยู่แล้ว ประเมินปี2563-2564ยังโตได้

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ระบุว่า กทม. ได้ออกคำสั่งให้ร้านขายของทุกร้าน รวมถึงรถเข็น รถขายอาหารข้างทาง ปิดทำการทั้งหมดตั้งแต่เวลา 24.00 น.ถึง 05.00 น.โดยให้มีผลตั้งแต่ 2 เมษายนถึง 30 เมษายน พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลตั้งด่านทั่ว กทม. โดยขณะนี้ยังไม่มีแผนจะประกาศเคอร์ฟิวหรือห้ามออกจากบ้านในพื้นที่ กทม. แต่อย่างใด

ด้านร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษก กทม.กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครมีมติออกประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งเปิด-ปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ฉบับที่ 5 โดยอนุญาตให้เปิดร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เกต ทั้งร้าน 7-11 ร้านแฟมิลี่มาร์ท และร้านโชห่วย ทั้งที่อยู่ในห้างและนอกห้างสรรพสินค้า รวมถึงร้านขายอาหารหรือเครื่องดื่มในรูปแบบคูหา รถเข็น แผงลอย ในช่วงเวลา 05.01-24.00 น.

นอกจากนี้ กทม.ได้ออกประกาศให้มีการปิดสวนสาธารณะของรัฐและเอกชนทุกแห่ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ยังไม่ดีขึ้นและสวนสาธารณะบางแห่งยังเป็นที่รวมตัวกันของประชาชนได้

@CPALL ไม่น่าห่วง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม. ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด ประเมินว่าหุ้นบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL จะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวไม่มาก เนื่องจากช่วงเวลาที่สั่งให้ปิดทำการ เป็นช่วงที่มีคนใช้บริการไม่มากนัก จึงมองว่าจะไม่กระทบต่อยอดขายของ CPALL มากนัก และไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการจึงยังคงแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 80 บาทต่อหุ้น

นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้อำนวยการฝ่าย Equity Derivative บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ต้องติดตามว่าการสั่งปิดร้านค้าจะได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง หุ้นที่รับผลกระทบมีเพียง CPALL แต่ตลาดหุ้นได้ปรับตัวลงมาหนักก่อนหน้านี้ ในช่วงที่มีการสั่งปิดห้างสรรพสินค้า และร้านนวด ซึ่งตรงนั้นหลายบริษัทได้รับผลกระทบ แต่ในครั้งนี้มองว่าไม่มีผลกระทบมากนัก

คาดกำไรปี 63-64 โต

บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) มองหุ้น CPALLจะได้ประโยชน์จากกระแสการกักตุนสินค้า ซึ่งสินค้าที่ขายดีส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารแห้งมีมาร์จิ้นต่ำ ดังนั้นจึงยังไม่ให้น้ำหนักบวกต่อประเด็นดังกล่าว ขณะที่การเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิม ช่วง 2 เดือนแรกติดลบ แต่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-2564 ที่ 2.38 หมื่นล้านบาท และ 2.40 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังมีการเติบโตแต่ไม่มาก

ทั้งนี้มองว่า CPALLระยะยาวยังดีจากกำไรที่โตต่อเนื่องและมีจุดเด่นจากร้านเซเว่น-อีเลฟเว่นที่มีสาขากระจายทั่วประเทศ จึงมีโอกาสต่อยอดธุรกิจด้านอื่นๆได้ง่ายกว่ารายอื่น เช่น ธุรกิจ Banking agent, โฆษณา และโลจิสติสก์ รวมถึงการซื้อกิจการเทสโก้ เป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองแก่กลุ่มในระยะยาวอีกด้วย ดังนั้นจึงแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 78 บาทต่อหุ้น