ทันหุ้น - สู้โควิด - BM ปรับแผนผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้า หนุนการเติบโตระยะยาว แย้มอยู่ระหว่างทบทวนเป้ารายได้ปีนี้ คาดชัดเจนในไตรมาส 2/63 โชว์แบ็กล็อกแน่นมือ 500 ล้านบาท ส่วนไวรัสโควิด-19 มองกระทบเล็กน้อยจากการส่งมอบสินค้าล่าช้า เล็งหาสินค้าใหม่อัพยอด พร้อมพุ่งเป้ารับงานรัฐ
นายธีรวัต อมรธาตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) หรือ BM เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจปีนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโดวิด-19 ส่งผลให้การส่งมอบสินค้าของบริษัท มีความล่าช้าไปบ้าง และมีโอกาสที่บริษัทจะเป้าลดเป้าหมายรายได้จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 30% หรือมีรายได้ที่ 1,291 ล้านบาท ซึ่งประมาณการเดิมคาดว่ารายได้จะมาจาก 7 กลุ่มงาน
รายได้จากธุรกิจ
ประกอบด้วย 1.กลุ่มงานรางและท่อร้อยสายไฟฟ้า คาดจะมีรายได้ที่ 585 ล้านบาท ดิดเป็นสัดส่วน 40% ของรายได้รวม, 2.กลุ่มงานผลิตตู้โลหะ คาดจะมีรายได้ที่ 77 ล้านบาท, 3.กลุ่มงานตู้สวิตช์บอร์ด คาดจะมีรายได้ที่ 55 ล้านบาท, 4.กลุ่มงานเชื่อมประกอบ คาดจะมีรายได้ที่ 65 ล้านบาท, 5.กลุ่มงานกลุ่มเครื่องมือและเครื่องจักรกล คาดจะมีรายได้ที่ 275 ล้านบาท, 6.กลุ่มงานผลิตชิ้นส่วนให้กับคูโบต้า คาดจะมีรายได้ที่ 185 ล้านบาท และ 7.กลุ่มธุรกิจอื่น ที่เป็นธุรกิจการค้าระหว่างหน่วยงานธุรกิจกับหน่วยธุรกิจ (B2B)คาดจะมีรายได้ที่ 50 ล้านบาท
“ตอนนี้บริษัทมีการพูดคุยกับบอดร์ดบริหารแล้ว ในเรื่องของการทบทวนประมาณการรายได้ เพราะว่าผลกระทบโควิด-19 ทำให้การส่งมอบชะลอไป แม้บริษัทจะมีความพร้อมแต่ในด้านคู่ค้าบางรายก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งผลกระทบดังกล่าวเป็นผลกระทบของภาพรวมประเทศทั้งหมด แต่ทั้งนี้บริษัทก็ต้องรอดูสถานการณ์อีกสักระยะ บริษัทยังเชื่อมั่นในระบบการจัดการของไทย คาดว่าในระยะ 3 เดือนสถานการณ์น่าจะกลับมาดีขึ้นและน่าจะเห็นการทบทวนเป้าหมายช่วงไตรมาส 2”นายธีรวัตกล่าว
แบ็กล็อก 500 ล.
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานมือ(Backlog) อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท เป็นงานจากการขยายรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รวมถึงงานส่วนต่อขยายภายในสนามบินทั้ง 3 แห่ง โดย Backlog ดังกล่าวจะทยอยส่งทมอบอย่างต่อเนื่อง ส่วนงบลงทุนปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 40 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทปกติ ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่บริษัทได้ดำเนินการลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดีบริษัทได้ปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น การพิจารณาที่จะปรับการผลิตสินค้าให้เป็นไปตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เชื่อว่าหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ความต้องการใช้สินค้าในชีวิตประจำวันน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ เช่น บรรจุภัณฑ์โลหะ กล่อง ตู้ ชั้นวางอาหาร เป็นต้น ซึ่งบริษัทได้มีการคิดวางแผนในเรื่องสินค้าใหม่อยู่เสมอ รวมไปถึงการที่จะเน้นรับงานของทางภาครัฐมากขึ้นเพราะว่ามีความมั่นคงมากกว่า
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากทางภาครัฐอยู่ที่ประมาณ 30% และคาดว่าจากนี้จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดูและเรื่องพนักงานบริษัทก็มีการดูแลในเรื่องความปลอยภัยในขณะนี้มีการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น เพื่อให้พนักงานมีความปลอดภัยในการทำงานมากที่สุด ส่วนรูปแบบการทำงานจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม