> SET > ORI

28 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 11:17 น.

ORI โชว์กำไรสุทธิปี 62 โต 21.4% โบรกมองปี 63 โตต่อจาก backlog ที่สูง-คอนโดพร้อมโอน

สำนักข่าว "ทันหุ้น" รายงานว่า ORI โชว์ผลประกอบการปี 62 คว้ากำไรสุทธิ 3,027 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิโดดเด่นในระดับ 21.4% หลังเปิดโครงการไป 20 โครงการ มูลค่ากว่า 24,200 ล้านบาท พร้อมกวาดยอดขายกว่า 29,000 ล้าน สูงกว่าเป้าหมาย มองปี 63 มีโครงการคอนโดสร้างเสร็จพร้อมโอนต่อเนื่อง หนุนรายได้และอัตรากำไรสม่ำเสมอ บอร์ดเคาะจ่ายปันผลรอบหกเดือนหุ้นละ 0.29 บาท หรือ คิดเป็น Dividend Yield กว่า 9% จากราคาปิดวานนี้ ฟากโบรกคงคำแนะนำ "ซื้อ" มองจะโตจากระดับ backlog ที่สูง ประเมินราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท 


นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่าแม้ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 จะถือเป็นช่วงปรับฐาน แต่บริษัทยังคงความสามารถในการรักษาระดับกำไรและอัตราการทำกำไรไว้ได้ดี โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,027 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความสามารถในการบริหารต้นทุนขายได้ดี ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 43.5% รวมถึงการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น จนสามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้ถึง 21.4% ซึ่งถือเป็นอัตรากำไรที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับภาพรวมของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญมรสุมสงครามราคาในภาวะตลาดอสังหาฯหดตัว


“ด้วยความตั้งใจของทีมงาน ผนวกกับการปรับกลยุทธ์และการวางแผนงาน เลือกเจาะตลาดลูกค้าได้ถูกกลุ่ม ทำให้บริษัทสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาขายไม่แพง มีความสามารถสู้กับตลาดในภาวะการแข่งขันที่สูง โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มอสังหาฯ จนทำให้สร้างยอดขายในโครงการที่เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมาเฉลี่ยสูงถึงกว่า 76% และสามารถรักษาประสิทธิภาพในการทำกำไรได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะเดียวกัน ด้วยคุณภาพของโครงการภายใต้แบรนด์ต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจ และยังคงทยอยโอนกรรมสิทธิ์ สร้างทั้งรายได้และกำไรกลับเข้าสู่บริษัทอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผลการขยายธุรกิจใหม่ในส่วนรายได้จากธุรกิจบ้านจัดสรรที่เติบโตจากปี 2561 กว่า 200% ทำให้มี Contribution ในผลประกอบการปี 2562 ราว 1,500 ล้านบาทหรือ11% ของรายได้รวมรวมถึงการกระจายความเสี่ยงในการสร้างธุรกิจบริการในกลุ่มบริษัท พรีโมที่เติบโตกว่า 30% และรุกคืบขยายไปสู่ธุรกิจRecurring income ที่สามารถสร้างโรงแรมใหม่ในทำเลทองอย่างทองหล่อและศรีราชาเสร็จก่อนกำหนดในปี 2562 ที่ผ่านมาและจะเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ปีนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว


ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 24,200 ล้านบาทแบ่งเป็นโครงการบ้าน 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 16 โครงการ มูลค่ารวม 18,200 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทมียอดขายในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 28,942ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,122 ล้านบาท 


นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับปี 2563 บริษัทมั่นใจว่าจะยังคงสามารถรักษาประสิทธิภาพของอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิได้ในระดับเดิม โดยในปี 2563 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่หลายโครงการที่มีแผนรับรู้รายได้ต่อเนื่อง และที่จะทยอยสร้างเสร็จและรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการไนท์บริดจ์ไพรม์ สาทร มูลค่าโครงการ 3,900 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์ไพรม์รัชโยธินมูลค่าโครงการ 1,680 ล้านบาทโครงการไนท์บริดจ์ไพรม์อ่อนนุชมูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์คอลลาจรามคำแหงมูลค่าโครงการกว่า 2,054 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์สเปซรัชโยธินมูลค่าโครงการกว่า 2,700 ล้านบาท และโครงการไนท์บริดจ์เกษตรโซไซตี้มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาทโดยปัจจุบันบริษัทมีแบ็คล็อกพร้อมทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องกว่า 3 ปีสูงถึงกว่า 41,000 ล้านบาท


นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงแรมที่เปิดให้บริการในปี 2563 จำนวน 2 โรงแรมได้แก่ ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง รวม 650 ห้องพัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มพอร์ตการรับรู้รายได้ให้แก่บริษัทอีกทั้งในไตรมาส 4/2562 กลุ่มธุรกิจโรงแรมได้จับมือกับพันธมิตรใหม่ โดย บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ได้เข้าร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่ชื่อ CI:Z Limited Liability Partnership ซึ่งเป็นนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่น โดยการขายหุ้น บริษัท วันสุขุมวิท 59 จำกัดซึ่งจะพัฒนาโครงการ Intercontinental Bangkok Thonglorร่วมกันต่อไป ทั้งนี้บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตจากธุรกิจหลัก รวมทั้งในธุรกิจใหม่ๆ และยังเปิดรับพันธมิตรใหม่ๆ มาร่วมทุนและร่วมขับเคลื่อนแพลทฟอร์มในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทโดยบริษัทจะเปิดเผยแผนธุรกิจประจำปี 2563 ของทุกกลุ่มบริษัทในเครือในวันที่ 4 มี.ค.นี้


ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัท มีการร่วมทุนกับพันธมิตรเดิม และ พันธมิตรใหม่เพิ่มเติม อันได้แก่ (1)บริษัทโนมูระเรียลเอสเตทดีเวลล็อปเมนท์ จํากัดเพื่อพัฒนาโครงการ “พาร์คออริจิ้นจุฬา-สามย่าน”(2)บริษัทเอสคอนเจแปน (ประเทศไทย) จํากัดเพื่อพัฒนาโครงการ “ไนท์บริดจ์สุขุมวิท-เทพารักษ์”(3) บริษัทดุสิตธานีจํากัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการ “เดอะแฮมป์ตันศรีราชาบายออริจิ้นแอนด์ ดุสิต”(4) CI:Z Limited Liability Partnership จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาโรงแรมระดับไฮเอนด์ต่อไป


“ทุกกลุ่มบริษัทในเครือจะยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทในปีนี้ ทั้งกลุ่มธุรกิจดั้งเดิมอย่างธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย ไปจนถึงธุรกิจใหม่ๆ อย่างธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง ธุรกิจบริการ เพื่อสร้างความยั่งยืนกลับมาสู่บริษัท” นายพีระพงศ์ กล่าว


นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทรอบหกเดือนหลังของปี 2562 ในอัตรา 0.29 บาทต่อหุ้นหรือ คิดเป็น Dividend Yield กว่า 9% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ เป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้นไม่เกิน 711.33 ล้านบาท โดยบริษัทจะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดโดยกำหนดในวันที่ 15 พ.ค.2563 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 29 พ.ค.2563


**ปี 63 ระดับ backlog ที่สูงหนุนโตต่อ

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ "ซื้อ" ORI ระบุกำไร Q4/62 ดีกว่าคาด, ปี 63 จะโตต่อจากระดับ backlog ที่สูง ให้ราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท อิง 2563 PER ที่ 7.3 เท่า (-0.75SD below 4-yr average PER) 


ORI รายงานกำไรสุทธิ Q4/62 ที่ 882 ล้านบาท -6% YoY, +28% QoQ ซึ่งเป็นกำไรรายไตรมาสที่สูงสุดในปีนี้ โดยดีกว่าตลาดคาด +6% แต่ใกล้เคียงกับที่โบรกคาด จากโอนคอนโด Knightsbridge Prime Sathorn ได้มากขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นยังทำได้สูง 44.8% ดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY คงประเมินกำไรปกติปี 2563 ที่ 2.8 พันล้านบาท +10% YoY ซึ่งจะยังคงเติบโตได้ดีกว่ากลุ่ม จากการมีคอนโดใหม่เริ่มโอนเพิ่มมากขึ้น


ราคาหุ้นปรับตัวลง และ underperform SET -9% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลต่อตลาดคอนโดที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 กำไรปกติ ORI ยังทำได้ดีกว่ากลุ่ม (-5% YoY เทียบกลุ่ม -20% YoY) ส่วนความกังวลต่อยอดโอนต่างชาติที่จะลดลงจาก COVID-19 


ประเมินว่าจะมีผลกระทบในช่วงครึ่งแรกปี 2563 และจะดีขึ้นในครึ่งหลังปี 2563 โดย ORI มีจุดแข็งจาก backlog ที่รอโอนปีนี้สูงไม่ต่ำกว่า 60% ของรายได้ที่เราคาด ทำให้โอกาสผลการดำเนินงาน 2563 จะต่ำกว่าที่คาดมีไม่มาก นอกจากนั้น ปัจจุบัน valuation ยังต่ำสุดในกลุ่มที่ 2563 PER ที่เพียง 4.7 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 6.6 เท่า


ความเคลื่อนไหวของหุ้น ORI อยู่ที่ 4.94 บาท ลดลง 0.46 บาท หรือ 8.52% มูลค่าการซื้อขาย 33.66 ล้านบาท


จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X