> SET > GPSC

25 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 09:32 น.

COVID-19 ถล่มโลก!!! 3โบรกสแกนทางรอดลงทุน SET

สำนักข่าว "ทันหุ้น" รายงานว่า สู้ศึก COVID-19 ถล่มตลาดหุ้นโลก!!! 3โบรกแกะทางรอดนักลงทุน พร้อมสแกนหุ้นน่าสอยฝ่าวิกฤติปี63 


บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ระบุว่า มุมมองต่อ SET ยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งขยายวงกว้าง หลังผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยเป็นปัจจัยกดดันหลักในตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ และสร้างภาวะตลาด risk-off ต่อเนื่อง โดย Bond Yield 10 ปีสหรัฐลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่วน 30 ปี ยังคงทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านแนวโน้ม SET มีแนวรับถัดไปที่ 1420 และ 1405 จุด ซึ่งคาดว่ามีโอกาสเกิดการรีบาวด์ทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม กรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1448 และ 1462 จุด


กลยุทธ์การลงทุน Selective Buy ในกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำเป็นส่วนผสมของหุ้นปันผลดี หุ้นแนวโน้มกำไรดี หุ้น Defensive และหุ้น Laggard ได้แก่ BCH BEM BTS IVL PTTEP ยังถือต่อได้ และหุ้นแนะนำประจำวัน ได้แก่ EA และ PSL


ประเด็นหลัก ภาพรวมตลาดวันก่อน ดัชนีปรับลงแรงสุดในภูมิภาคเอเชีย และเป็นการปรับลงแรงสุดใน 1 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 58 (ลงไป 4.73%) ดัชนีทำระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี 4 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค. 59 โดยเป็นการขายหนักในกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก ธนาคาร อสังหาฯ ขนส่ง อาหาร ด้าน Fund Flow ต่างชาติขายสุทธิเป็นวันที่ 3 เช่นเดียวกับสถาบันฯ ที่สลับมาขายสุทธิ ขณะที่ SET50 Futures ต่างชาติ Long ส่วนสถาบันฯ Short สุทธิเล็กน้อย ส่วน Stock Futures ต่างชาติและสถาบันฯ Long สุทธิทั้งคู่ โดย OI ของ SET50 Futures และ SSF ลดลงทั้งคู่


ปัจจัยสำคัญ (-) ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรงสุดในรอบ 2 ปี DJIA -3.6% S&P500 -3.4% Nasdaq -3.7% นักลงทุนยังเทขายสินทรัพย์เสี่ยงจากความกังวลการแพร่ระบาด COVID-19 นอกจีน กดดันหุ้นสายการบิน หุ้นโรงแรมและกาสิโน โดยกระแสเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยทั้งทองคำและพันธบัตร โดย Bond Yield 10 ปีสหรัฐลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่วน 30 ปี ยังคงทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์


(-) ราคาน้ำมันร่วงแรง WTI-F -3.7% Brent-F -3.8% จากความกังวลการแพร่ระบาด COVID-19 นอกจีนกระทบอุปสงค์ อย่างไรก็ตามผู้นำกลุ่ม OPEC ยังคงมองว่าผลจากไวรัสเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น


(-) Spread ปิโตรเคมีสัปดาห์ที่แล้วปรับลดลง เนื่องจากราคาแนฟทาเพิ่มขึ้น 2%WoW ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับราคา HDPE, LDPE, LLDPE และ PP ลดลงในช่วง 0-5% WoW ผลจาก COVID-19 ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ HDPE, LDPE, LLDPE และ PP ลดลง 5%, 6%, 4% และ 11% WoW ตามลำดับ เป็นลบต่อ IRPC, SCC และ TPIPL รวมทั้ง PTTGC ที่ถูกกดดันจาก HDPE ที่ลดลง 1%WoW ทางด้านส่วนต่างราคา PX-แนฟทา ลดลง 3% WoW เป็นลบต่อ TOP ขณะที่ส่วนต่างราคา MEG – Ethylene เพิ่มขึ้นกว่า 24%WoW (เนื่องจากราคา MEG เพิ่มขึ้น แต่ Ethylene ปรับลง) เช่นเดียวกับ PTA – PX เพิ่มขึ้น 9% (เนื่องจากราคา PTA เพิ่มขึ้น) แต่ PET Spread ลดลงถึง 15% WoW โดยรวมเป็นปัจจัยลบต่อ IVL


ส่วนประเด็นติดตามวันนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันที่ 2 


ดังนั้นในวันนี้น่าจะเห็นการดีด rebound หลังจาก SET ปรับลงไปทำระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 3 ปี ส่งผลให้ Expected P/E 63 อิง EPS ตลาดฯ ที่ 96.5 บาท อยู่ที่ราว 14.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ไม่แพงนัก โดยน่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับในหุ้นขนาดใหญ่ หุ้น Defensive และหุ้นปันผลสูงที่ปรับลงแรงวานนี้ โดยเรายังคงแนะนำชุดหุ้นเดิมในพอร์ต คือ BCH BEM BTS IVL PTTEP ซึ่งยังคงเป็นส่วนผสมของหุ้นปันผลดี หุ้นแนวโน้มกำไรดี หุ้น Defensive และหุ้น Laggard นอกจากนี้ เรายังแนะนำเก็งกำไรการฟื้นตัวของหุ้นเดินเรือ เนื่องจากดัชนี BDI ยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง วานนี้ปรับขึ้นไปอีก 1.8% ส่งผลให้ในรอบ 2 สัปดาห์หลังสุด นับตั้งแต่ 10 ก.พ. เป็นต้นมา BDI ปรับขึ้นไปแล้วถึง 23% จึงยังคงแนะนำ PSL ซึ่งการปรับลงมาวานนี้ถือเป็นโอกาสดีในการคาดหวังการ rebound ได้


หุ้นแนะนำประจำวัน ได้แก่ EA (รับ 45.50 ต้าน 48.00 cut 44.00) และ PSL (รับ 5.00 ต้าน 5.30 cut 4.78)


* * เจาะ 4 ประเด็น COVID-19 กระทบ SETใหม่ ชี้กรอบ 1,420-1,450 จุด

บทวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุว่า ตลาดหุ้นกังวล ผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเร่งตัวขึ้น โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราการติดเชื้อของคนจีนเริ่มทรงตัวในระดับ 7.7หมื่นคน คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน ขณะเดียวกันเราเริ่มเห็นคนงานบางส่วนเริ่มเดินทางกลับไปเมืองธุรกิจ เช่นปักกิ่ง, เซี้ยงไฮ้, เซินเจิ้นเพื่อประกอบธุรกิจ ถือเป็นสัญญาณบวกอ่อนๆสอดคล้องกับมุมมองของเราในบทวิเคราะห์รายเดือน อย่างไรก็ตามล่าสุดเมื่อวานที่ผ่านมา SET ปรับตัวลงกว่า 60จุด (-3.98%) ทดสอบ Worst case เดิมเดือนก.พ.ของเราที่ 1,440จุด เป็นผลจากการระบาดแพร่กระจายไปนอกประเทศจีนมากขึ้น 


โดยพบว่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง 147%WoW ที่ 2,216คน นำโดยประเทศเกาหลีใต้, ญี่ปุ่น (รวมเรือ Diamond Princess), อิตาลี, สิงคโปร์, ฮ่องกงและอิหร่าน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ,การเงินและการค้าโลกอย่างมาก (ปัจจุบันไทยส่งออกไปประเทศดังกล่าวรวมสูงกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมด) 


ประกอบกับการเร่งตัวในระยะแรกของผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเป็นเหตุให้เราแบ่งผลกระทบจาก COVID-19 ต่อการลงทุนใน SET Index ใหม่เป็น 4 กรณี ดังนี้ 1) Base case [1,440-1,470จุด] ระหว่างวันที่ 24ก.พ.-9 มี.ค.หากอัตราผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำกว่า 15% CAGR (เทียบเท่าอัตราปัจจุบัน) ขณะที่เริ่มเห็นอัตราการรักษาหายในประเทศจีนเร่งขึ้นและโรงงานส่วนใหญ่กลับมาเดินเครื่องผลิต (Utilization rate) ไม่ต่ำกว่า 60% ในเดือนมี.ค. ประเมินกรอบ SET อิง EYG(%) ที่ [0.375-0.5]SD ได้บริเวณ 1,440-70จุด ประเมินว่าธปท.มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ย 25bps และค่าเงินบาทที่ 32.0บาท แนะทยอยสะสมกลุ่ม Restocking play, อิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มบริหารสินทรัพย์ และกลุ่มที่คาดได้ประโยชน์จากการอัดฉีดเม็ดเงินจากภาครัฐ นำโดย SCC, TASCO, KCE, STA,STEC, JMT, CHAYO 


2) Worse case [1,400จุด-] : ในระหว่างวันที่ 24ก.พ.-9มี.ค. หากพบยอดผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเฉลี่ยมากกว่า 30% CAGR เทียบเท่าอัตราการติดเชื้อของประเทศจีนในช่วงแรก หรือเริ่มเห็นประเทศอื่นๆรวมถึงไทยประกาศเข้าสู่การระบาดระยะที่ 3 มากขึ้น (เป็นระยะที่สามารถแพร่เชื้อระหว่างคนในประเทศที่ไม่ได้พบประวัติการพบคนจีน) หากเป็นเช่นนั้นเราประเมินว่า WHO จะประกาศให้โรค COVID-19 เป็นโรคระบาดร้ายแรง (Global pandemic) คาดส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก, การท่องเที่ยว, ค้าปลีก และเป็นการเพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ Technical recession ใน 2Q20 ประเมินกรอบ SET อิง EYG(%) ที่ 0.635SD ได้บริเวณ 1,400จุด พร้อมประเมินว่าธปท.มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 25bps แนะทยอยสะสมกลุ่ม Defensive play นำโดย กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ ICT (ADVANC, TFFIF) 


3) Worst case [1,300จุด] : ระบาดทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐ, เยอรมัน รวมถึงกลุ่ม BRIC (ประชากรรวมกันมากกว่า 3พันล้านคน) และถึงขึ้นที่รัฐบาลประเทศดังกล่าวออกคำสั่งยกเลิกการเดินทางทั่วประเทศและ/หรือปิดบางเมืองคล้ายกับที่จีนปิด Wuhan ประเมินว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ Recession ประเมินกรอบ SET อิง EYG(%) ที่ 1.0SD ได้บริเวณ 1,300จุด แต่หากยังไม่สามารถควมคุมได้ มาตรการสุดท้ายที่อาจจะเห็นคือทุกประเทศทั่วโลกประกาศงดการเดินทางเข้า-ออกพร้อมๆกันเป็นเวลา 2สัปดาห์เพื่อคุมโรคดังกล่าว เบื้องต้นไม่มีหุ้นแนะนำ จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวรวมถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินจากธนาคารกลางหลักของโลกอย่าง FED, ECB, BOJ เช่น QE4 


4) Best case [1,520-1,570จุด]: หากมีการรายงานค้นพบยารักษาโรค COVID-19 และ/หรือ WHO ประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน ภาพดังกล่าวทำให้ตลาดทุนกลับมาสู่ภาวะ Risk-On ประเมินกรอบ SET อิง EYG (%) ที่ [0.125-.25]SD ได้บริเวณ 1,520-70จุด แนะสะสม IVL, TOP 

          

โดยสรุปเราน้ำหนัก Base case มากกว่า 60% แนะนักลงทุนติดตามตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนใน 24 ก.พ.-9มี.ค. (ระยะการเพาะเชื้อ 2 สัปดาห์) เพื่อประเมินผลลัพธ์ในแต่ละกรณี ดังนั้นหุ้นแนะนำ GPSC (พื้นฐาน 77.75 บาท) คาดกำไรในปีนี้จะฟื้นจากปีก่อนโดยการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดยังดำเนินไปตามแผน ขณะเดียวกันบริษัทฯได้ขยายกิจการไปสู่ธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่เพิ่มเติม 


* * เคาะกรอบวันนี้ 1415-1440 จุด

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ตลาดหุ้นวานนี้ SET Index ปรับตัวลงแรงกว่าที่เราและตลาดคาดมากโดยปิดลบถึง 59.53 จุด ณ สิ้นวัน (-4%) โดยถูกกดดันจากการที่นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกจากความกังวลการแพร่ระบาดของ COVID-19 สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิอย่างหนาแน่นถึง 4.2 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายต่อเนื่องอีก 1.7 พันลบ. (แต่ Long Index Futures อีกเล็กน้อย 2.9 พันสัญญา)


ส่วนแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดว่า SET Index ยังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อจากบรรยากาศการลงทุนที่ยังเป็นลบจาก COVID-19 แต่คาดว่าจะสามารถเกิด Technical Rebound ระยะสั้นจากดัชนีที่ปรับตัวลงแรงกว่า 100 จุดในระยะกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาและเริ่มเข้าเขต Oversold โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,415-1,440 จุด อย่างไรก็ตามตลาดยังมีความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจเข้าสู่การระบาดระยะที่ 3 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งแรกปีนี้ เรายังประเมินว่าหุ้นในกลุ่ม Defensive และ Dividend Play อย่างกลุ่มสื่อสารฯ โรงพยาบาล PF&REIT จะปรับตัวได้แข็งแรงกว่าตลาด 


กลยุทธ์ เน้นพักเงินในหุ้น Defensive และจ่ายปันผลสูง//เก็งกำไรคาดหวังการรีบาวด์จากระดับ 1,400-1,420 จุด ขณะที่หุ้นเด่นเดือน ก.พ. คือ CHG, INTUCH, KTC, PLANB, SAPPE


โดยหุ้นเด่นวันนี้ แนะนำซื้อ RBF ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 5.50 บาท COVID-19 กระทบน้อยมาก คำสั่งซื้อในธุรกิจอาหารทั้งในและต่างประเทศใน 1QTD ยังดีเป็นปกติ ขณะที่การขายไปจีนต่ำกว่า 0.5% ของรายได้รวม ส่วนธุรกิจโรงแรมยังขาดทุนแต่อยู่ในประมาณการของเราแล้ว ด้านโรงงานที่เวียดนามและอินโดนีเซียจะเดินเครื่องจักร มี.ค. ดีต่อต้นทุนที่ลดลงโดยเฉพาะค่าขนส่ง ทั้งนี้เราคงกำไรปีนี้ เพิ่มขึ้น 14% แต่ปรับ PE ขึ้นเป็น 25 เท่าจาก 21 เท่าจากเทรนด์ Plant-based food ที่มาแรง ภาษีความหวาน-เค็มที่ทำให้ผู้ผลิตอาหาร-เครื่องดื่มต้องปรับสูตร ทำให้ตลาดของ RBF กว้างมากขึ้น PE ดังกล่าวยังต่ำกว่า Global peers



จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X