> SET > RATCH

20 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 08:10 น.

RATCHอัดฉีดงบ2หมื่นล. ซื้อกิจการดันกำลังผลิต

ทันหุ้น - RATCH ปักธงปี 2563 ปั๊มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีกมากกว่า 780 MW หวังดันกำลังผลิตรวมสิ้นปีแตะ 8,715.07 MW เผยอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการ 5 โปรเจ็กต์ คาดไตรมาส 1/2563 ได้ข้อสรุป 1 โครงการ พร้อมเงินลงทุน 2 หมื่นล้าน เดินหน้าเสริมแกร่งหนุนอนาคต


นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า แผนดำเนินธุรกิจปี 2563บริษัทวางเป้าหมายจะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มอีก 780 เมกะวัตต์ (MW) ส่งผลให้ภายในสิ้นปี 2563 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 8,715.07 MW หลักๆ เพื่อเป็นการหากำลังการผลิตใหม่ทดแทนสัญญาเดิมที่ใกล้หมดอายุ ซึ่งในปีนี้จะมีโครงการโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ที่จะปลดจากระบบในปีนี้ ขนาดกำลังผลิต 720 MW


บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาควบรวมกิจการ (M&A) โครงการผลิตไฟฟ้า จำนวน 5โครงการ แบ่งออกเป็นโครงการภายในประเทศ จำนวน 2 โครงการ และต่างประเทศ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในอินโดนีเซีย เวียดนาม โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ในอินโดนีเซีย ลาว และพลังงานทดแทน โดยเป้าหมายหลัก คือ เวียดนาม ลาว อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย จำนวน 3โครงการ เป็นต้น คาดว่าภายในช่วงไตรมาส 1/2563 จะได้ข้อสรุปไม่น้อยกว่า 1 โครงการภายในไทย มูลค่าไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ขนาดกำลังผลิตไม่น้อยกว่า 100 MW ซึ่งเป็นโครงการประเภท SSP ส่วนที่เหลือคาดว่าจะทยอยได้ข้อสรุปภายในปีนี้ทั้งหมด


ทุ่มลงทุน2หมื่นล.

โดยบริษัทตั้งงบลงทุนรวมในปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 10,000 ล้านบาท สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือดำเนินการ ส่วนอีก 10,000 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นการลงทุนใหม่ หรือการเข้าซื้อกิจการเพิ่มในปีนี้ ด้านแหล่งเงินทุนนั้นบริษัทมีแผนในการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม เพื่อรองรับโครงการต่างๆ โดยยังไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ แต่เบื้องต้น บริษัทในการประชุมผู้ถือหุ้นได้ขอไว้เรียบร้อยแล้ว 15,000 ล้านบาทในปีนี้


นอกจากนี้ ในปี 2563 บริษัทจะมีการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) จำนวน 3โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น ขนาดกำลังการผลิต 99.23MW คาดว่าจะสามารถ COD ในเดือนมิถุนายน 2563, โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน เซน้ำน้อยประเทศลาว ขนาดกำลังการผลิต 410 MWคาดว่าจะ COD ในเดือนธันวาคม 2563 และโครงการโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น ขนาดกำลังการผลิต 119.15 MW ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จไป 99.97%  เป็นต้น


ซึ่งการ COD โครงการเหล่านี้จะส่งผลให้รายได้รวมปี 2563 เติบโตดีกว่าปีก่อน อีกทั้งการขยายลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นทำให้ปี 2566รายได้จากต่างประเทศจะอยู่ที่ระดับ 50% และในประเทศอยู่ที่ 50% จากปัจจุบันรายได้ในประเทศอยู่ที่ 75.6% และในต่างประเทศอยู่ที่ 24.4%


จ่อคิวประมูลงาน

ส่วนความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสายสีชมพู คาดว่าจะล่าช้ากว่าแผนงานประมาณ 5% จากเดิมที่จะแล้วเสร็จประมาณตุลาคม 2564 เนื่องจากการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ด้านโครงการ NNEG ส่วนขยาย คาดว่าจะ COD ได้ในเดือนกันยายน 2563 ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้  ขณะที่การร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ในรูปแบบ PPP Gross Cost ระยะเวลา 30 ปี บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลในนามกิจการร่วมค้า BGSR คาดว่าจะได้ข้อสรุปดีลกลางปี 2563 เช่นกัน

สำหรับผลดำเนินงานปี 2562  บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,963.28 ล้านบาท เทียบจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,587 ล้านบาท ทั้งนี้คณะกรรมกามีมติจ่ายปันผลปี 2562 หุ้นละ 2.40 บาท โดยจะจ่ายงวดครึ่งปีหลัง2562 อีก1.25บาทต่อหุ้น วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 4 มี.ค. 2563 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 5 มี.ค. 2563 และจ่ายปันผล 23 เม.ย. 2563

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X